เรื่องเหมืองทองคำ คนที่อยู่ตรงนั้นทั้งหมดได้ยินแล้ว
บังเอิญว่ามู่เว่ยและเซียวเฉวียนเหมือนกัน เป็นคนที่หลงไหลในความร่ำรวย เหมืองทองคำเหมืองหนึ่ง มู่เว่ยจะยอมปล่อยไปได้อย่างไร
ดวงตาโตของมู่เว่ยเป็นประกาย :“เซียวเฉวียน อ่อ ไม่ ข้าต้องเรียกท่านว่าราชบุตรเขย”
“ขอคุยปรึกษากับท่านหน่อย”
เซียวเฉวียนมองมู่เว่ยที่ไม่พูดอะไร มู่เว่ยจึงคิดว่าเซียวเฉวียนอนุญาติแล้ว นางจึงพูดต่อไป:“เหมืองทองคำ......”
คำพูดต่อจากนั้น มู่เว่ยคิดว่าคงไม่ต้องพูด เซียวเฉวียนก็น่าจะเข้าใจ
และเซียวเฉวียนก็ไม่ทำให้มู่เว่ยผิดหวัง เซียวเฉวียนรีบตอบกลับว่า:“แม่นางต้องการส่วนแบ่งเหมืองทองคำใช่ไหม?ไม่มีปัญหา คนที่ได้ยินต่างได้ส่วนแบ่ง”
มู่จิ่นและโย่วควนที่ยืนอยู่ฝั่งของเซียวเฉวียน หลังจากที่ขุดทองคำแล้ว จะมีเท่าไรก็จะแบ่งให้พวกเขาเล็กน้อย
ส่วนมู่เว่ย เซียวเฉวียนเชื่อว่า ในที่สุดมู่เว่ยก็ไปยืนอยู่ฝั่งของเซียวเฉวียน
เพราะว่ามู่เว่ยรู้สึกว่ามู่จิ่นสามารถพึ่งพาได้อย่างมาก
และมู่เว่ยก็เป็นคนที่มีความคิดเรียบง่าย ไม่ได้คิดอะไรมากมาย
ถ้าไม่มีมู่จิ่นอยู่เคียงข้างนาง ถึงแม้ว่านางจะเป็นเจ้าสำนักหมิงเซียน เพียงแค่เวลาสองวัน นางก็คงออกไปตามหามู่จิ่นแล้ว
ดังนั้น คนที่ได้ยินเรื่องเหมืองทองคำต่างได้ส่วนแบ่งก็ถูกต้องแล้ว
“แต่ว่า เรื่องวันนี้ จะขอให้แม่นางเก็บเป็นความลับ” เซียวเฉวียนเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา
คนที่อยู่ที่นี่ มีเพียงมู่เว่ยคนเดียวที่ดูผิดปกติกว่าใคร เซียวเฉวียนกังวลว่ามู่เว่ยจะไม่ระวังคำพูด พูดเรื่องเหมืองทองคำออกไป มันจะกลายเป็นความวุ่นวายอย่างมาก ถึงตอนนั้นจะนำไปสู่การต่อสู้แย่งชิงเหมือนทองคำกัน
โลกเกิดความสงบสุขเป็นสิ่งที่เซียวเฉวียนปรารถนา
พูดจบ เซียวเฉวียนก็ขยิบตาให้มู่เว่ย:“สิ่งที่ดีที่สุดแม่นางต้องสาบาน ทำอย่างนี้เหมืองทองคำก็จะปลอดภัยไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน”
คนโบราณให้ความสำคัญกับคำสาบานมาก เพียงแค่สาบานก็จะสามารถผูกมัดพวกเขาไว้ได้
ไม่ใช่ว่าเซียวเฉวียนไม่เชื่อมู่เว่ย แต่มู่เว่ยยังไร้เดียงอยู่มาก ไม่แน่ว่าอาจจะถูกคนอื่นหลอกลวงและเผลอหลุดปากพูดออกไป
“ได้!” มู่เว่ยต้องกลับอย่างรวดเร็ว ยกมือข้างหนึ่งขึ้นสาบานต่อหน้าฟ้าดิน “ฟ้าดินจงเป็นพยาน ข้ามู่เว่ยสาบานว่า ถ้าเรื่องในวันนี้ ข้าพูดออกไปแม้แต่คำเดียว ของให้ข้าโดนสายฟ้าทั้งห้าของซียวเฉวียนผ่า!”
สาบานเสร็จ มู่เว่ยหันหน้ามองเซียวเฉวียนอย่างภาคภูมิใจ:“อย่างนี้พอแล้วใช่ไหม?”
เมื่อสาบานแล้ว มู่เว่ยจะต้องจดจำเรื่องของวันนี้ไม่พูดออกไปเด็ดขาด เซียวเฉียนพยักหน้า:“ดี ไปเก็บของ พวกเราออกเดินทางต่อเถอะ”
เวลามีจำกัด เซียวเฉวียนจะต้องรีบหาคลังอาวุธและเถามันเทศ
ดังนั้น คนสี่คนอูฐแปดตัวเดินทางต่อไปในทะเลทราย
บนตัวของอูฐมีแขวนกระดิ่งไว้ มีเสียงดังคมชัดเจนดังขึ้น เพื่อเพิ่มบรรยากาศทำให้ทะเลทรายร้างที่ไม่มีคนมีชีวิตชีวาขึ้นมา
ตลอดทาง มู่จิ่นเดินอยู่ข้างเซียวเฉวียน มีเรื่องคุยกับเซียวเฉวียนไม่จบสิ้น ตอนที่พูด รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่จิ่น ก่อนหน้านี้หลายปีรวมกันแล้วยังไม่มากเท่ากับหลายวันที่ผ่านมา
จึงทำให้ในใจของมู่เว่ยอดที่จะสงสัยไม่ได้:“หลังจากที่ศิษย์พี่ได้เจอกับเซียวเฉวียน เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน?”
มู่จิ่นในตอนนี้ ในสายตาของมู่เว่ยเป็นคนที่พูดมากยิ้มเก่ง
ก่อนหน้านี้มู่จิ่นสงบนิ่งมาก แม้แต่ผายลมยังไม่ผายเลย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...
ไหนบอกรักลูกน้องหนักหนา เด็กมันอยากจะเข้าไปเป็นสนมก็จะปล่อยให้เข้าไปงั้นเหรอ ตัวเอกเรื่องนี้มันยังไง พิมพ์ด่านะ แต่ก็อ่าน 55555...