สรุปเนื้อหา บทที่ 1072 เสียงสวรรค์ – ซูเปอร์ลูกเขย โดย ชิงเฉิง
บท บทที่ 1072 เสียงสวรรค์ ของ ซูเปอร์ลูกเขย ในหมวดนิยายนิยายจีนโบราณ เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย ชิงเฉิง อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
“พักผ่อนอยู่ในห้องพักแขก” มู่จิ่นตอบกลับโย่วควนเบาๆ หนึ่งประโยค
เซียวเฉวียนเก่งกาจขนาดนั้น ตอนนี้ยังมีใครสามารถทำร้ายเขาได้อยู่อีก? ในความเห็นมู่จิ่น โย่วควนช่างร้อนตัวไปโดยเปล่าประโยชน์นัก
และสิ่งที่สำคัญที่สุดเบื้องหน้าตนตอนนี้ก็คือโน้มน้าวเฉากุย ให้นางกลับใจซะ
“เจ้ามาได้พอดีเลย เจ้าบอกกับแม่นางเฉากุยไปหน่อยซิว่าเจ้านายเจ้าเป็นใคร” มู่จิ่นจัดการลากตัวโย่วควนกลับมา จากนั้นพึมพำข้างหูของโย่วควนสักหน่อย เพื่อที่จะบอกตัวตนของเฉากุยให้โย่วควนฟัง
โย่วควนอดที่จะตกตะลึงไม่ได้ นี่เขามองไม่ออกเลย ในสถานที่อันรกร้างห่างไกลนี้ถึงกับมีคนของสำนักหมิงเซียนมาซ่อนตัวอยู่ด้วย
พอดี ภูเขาสูงฮ่องเต้อยู่ห่างไกล เซียวเฉวียนทำลายพวกเขาทิ้งเสียก็ไม่มีใครรู้เห็นอยู่ดี อาศัยพลังที่แท้จริงของเซียวเฉวียนแล้ว หากว่าตัวเซียวเฉวียนเองไม่พูด ก็ไม่มีใครค้นพบหรอกว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของเซียวเฉวียน
โย่วควนเองกลอกตาให้กับมู่จิ่นครั้งหนึ่ง “เหตุใดต้องบอกชื่อนายท่านของข้าให้นางฟังด้วย”
คนของสำนักหมิงเซียนนั้นเป็นศัตรูของเซียวเฉวียน โย่วควนย่อมไมได้รู้สึกดีอะไรกับพวกเขาอยู่แล้ว ยังต้องให้โย่วควนบอกรายละเอียดเซียวเฉวียนให้พวกมันฟังอีกหรือไร?
พอถูกโย่วควนถามเอาแบบนี้ มู่จิ่นก็รู้สึกผิดจนทันใดนั้นใบหน้าแดงเห่อร้อน เขาไม่คิดอยากให้คนสำนักหมิงเซ๊ยนต้องตาย แต่ว่าเขาก็ไม่อาจคาดเดาเจตนาที่แท้จริงของเซียวเฉวียนได้ ทว่าตอนแรกเซียวเฉวียนเคยรับปากมู่จิ่นเอาไว้ว่าจะไม่ลงมือกับคนของสำนักหมิงเซียน มู่จิ่นเองก็พยายามปกป้องชีวิตของพวกเขาสุดความสามารถ ขอเพียงให้เฉากุยรู้ว่าเซียวเฉวียนเก่งกาจ และล่าถอยไปเสียเอง นางก็สามารถไปโน้มน้าวให้ผู้อื่นถอยกลับไปได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ มู่จิ่นก็ย่อมปกป้องพวกเขาไว้ได้
แต่ว่าเพื่อจะโน้มน้าวให้เฉากุยล่าถอย พวกเขาต่างพูดกันจนน้ำลายแห้งแล้ว ทว่าเฉากุยนั้นฟังไม่เข้าใจแม้แต่ประโยคเดียว แถมยังคงพูดจาชั่วร้ายใส่มู่จิ่น เพื่อให้มู่จิ่นปิดปากด้วย
โย่วควนพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง”
คนนะไม่ใช่ต้นไม้ใบหญ้า ใครมันจะไร้น้ำใจได้ปานนั้น?
นับตั้งแต่เล็กมู่จิ่นก็เติบโตมาในสำนักหมิงเซียน เขาผูกพันกับคนในสำนักไม่น้อย
ในเมื่อเซียวเฉวียนเคยสัญญาเช่นนี้ไว้กับมู่จิ่น โย่วควนก็รู้สึกว่าจะช่วยมู่จิ่นก็ไม่ลำบากอะไรนัก ในส่วนที่เฉากุยจะฟังหรือไม่ นั่นไม่ใช่เรื่องที่โย่วควนต้องไปสนใจแล้ว
“แม่นางเฉากุยสินะ” โย่วควนเปิดปากพูด จากนั้นก็ถูกเฉากุยเอ่ยปากตัดตอนอย่างเย็นชา “ท่านเองก็หุบปากเสีย!”
ไม่ว่าโย่วควนจะหล่อเหลาเพียงไร หรือว่าพูดจาจับใจสักแค่ไหน แต่ว่าเขานั้นเป็นลูกน้องของเซียวเฉวียน ก็เสมือนนั่งเรือลำเดียวกับเซียวเฉวียนนั่นแหละและนับเป็นศัตรูของเฉากุย ศัตรูคำนี้ได้ล้างความรู้สึกดีๆ ที่เฉากุยมีต่อโย่วควนในใจจนหมด
“แต่ว่า หากว่าท่านแยกตัวออกจากเซียวเฉวียน จากนั้นเล่าเรื่องของเซียวเฉวียนให้ข้าฟัง ข้าจะฟังก็ได้” เฉากุยไม่เหลือบมองโย่วควนเลยสักนิด การมีชายหนุ่มหล่อเหลาเช่นนี้เป็นศัตรู จริงๆ แล้วเป็นเรื่องน่าเสียดายยิ่ง เฉากุยคิดอยากจะดึงโย่วควนมาเป็นพวก
“การรั้งอยู่ที่สำนักหมิงเซียนยังดีกว่าติดตามคนตกต่ำอย่างเจ้าเซียวเฉวียนคนนี้มากนัก” เฉากุยเริ่มล้างสมองโย่วควน
เฉากุยไม่รู้จักเซียวเฉวียน แต่ว่านางก็ฟังเรื่องจากพ่อค้าที่ผ่าทางมามาก พวกเขาพูดว่าเดิมทีเซียวเฉวียนเป็นเขยแต่งเข้าผู้ขลาดเขลาของตระกูลฉิน และก็ไม่รู้ว่าเซียวเฉวียนโชคดีหรือว่าองค์หญิงโชคร้าย หลังจากคุณหนูใหญ่ตระกูลฉินละทิ้งเขาแล้ว เขาก็หันไปสู่ขอองค์หญิงต้าถงแทน หลังจากนั้นก็เปลี่ยนสถานะเป็นราชบุตรเขยแคว้นซินเจียง
ต่อให้เซียวเฉวียนเป็นราชบุตรเขยแคว้นซินเจียง ในสายตาของเฉากุยแล้ว เซียวเฉวียนก็เป็นแค่ไอ้แมงดาขยะขี้ขลาด
ข่าวลือที่เกี่ยวกับเซียวเฉวียนนั้นเดิมก็แค่เป็นข่าวลือที่ส่งต่อไปเท่านั้น ยิ่งบวกกับว่ามีคนบางคนจงใจสุมพริกสุมเกลือ ข่าวจากเมืองหลวงแคว้นต้าเว่ยที่ลือไปยังหมู่บ้านจันทร์เสี้ยวที่ตั้งอยู่ในหุบเขาเช่นนี้ อรรถรสที่แตกต่างกันนับหมื่นพันลี้ เนื้อหาย่อมแปรเปลี่ยน
ผู้ที่รู้จักเซียวเฉวียนจริงๆ นั้นมีไม่มาก แต่เพราะสาเหตุมาจากข่าวลือ ทำให้ชื่อเสียงของเซียวเฉวียนเหม็นจนไม่อาจจะฉาวโฉ่ได้อีก
ทุกครั้งที่ได้ยินคนพูดทำลายชื่อเสียงเซียวเฉวียน โย่วควนก็ยิ่งโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ นัยน์ตาของเขาจับจ้องเฉากุยเย็นเยียบครั้งหนึ่ง ไม่ต้องเอ่ยสิ่งใดต่อ เมื่อเฉากุยมีใจคิดอยากขวางกระบอกปืนอยู่ร่ำไป ถ้าเช่นนั้นก็ให้ศีรษะของนางถูกยิงเป็นรูเลือดไหลไปเลย!
พูดดีให้ตายก็โน้มน้าวคนถึงฆาตไม่ได้!
โย่วควนช่วยคนที่สมควรตายไม่ไหว
โย่วควนเหลือบตามองมู่จิ่นเบาๆ ครั้งหนึ่ง แสดงให้เห็นว่ามู่จิ่นเจ้าเองก็เห็นแล้ว มิใช่ว่าข้าไม่ช่วยเจ้าแต่เป็นเฉากุยฟังความไม่เข้าใจเอง
พูดจากันมาจนกระทั่งถึงขั้นนี้แล้ว อาหารในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ก็คงกินกันต่อไม่ได้อีก โย่วควนกลัวถูกคนวางยาพิษ
โย่วควนเอ่ยทิ้งอีกประโยค “แม่นางเฉากุย นายท่านของข้าเพิ่งจะสั่งอาหารรสเลิศสามจาน ตอนนี้ดูแล้ว คงไม่ต้องเอามาขึ้นโต๊ะแล้วละ”
เมื่อมั่นใจว่าเป็นของที่พวกเซียวเฉวียนสั่งแน่นอน เฉากุยก็ถามต่อ “แล้วอีกสองขาย่างเสร็จแล้วหรือยัง?”
เสี่ยวเอ้อพยักหน้าเป็นการตอบรับคำถามของเฉากุย
เฉากุยคิดอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา ตามวันปรกติแล้วพวกพ่อครัวย่างขาแกะกลับไม่ได้รวดเร็วปานนี้ ต้องให้พวกแขกเร่งไม่รู้ตั้งกี่ครั้งถึงจะย่างเสร็จ มาวันนี้พวกเซียวเฉวียนยังไม่ทันได้เร่งเลย แต่กลับเร็วปานนี้?
เมื่อเห็นเฉากุยไม่เอ่ยวาจา เสี่ยวเอ้อก็ทาน้ำมันที่ฝ่าเท้าพลางเอ่ยชักชวนอย่างกระตือรือร้น “เถ้าแก่ครับ วันนี้พวกเราทำงานเสร็จเร็วมากใช่หรือไม่? ข้าได้ยินท่านแขกทั้งสามพูดว่าพวกเขาหิวกันมากว่าสามวันแล้ว พอดีเลยเวลานี้ไม่มีใครมากินข้าว ข้าก็เลยเร่งไปหน่อย พวกพ่อครัวเลยเร่งมือให้ขอรับ”
“เหอๆ” เฉากุยยกมุมปากขึ้นหัวเราะแห้งอย่างไร้อารมณ์ หลังจากนั้นสั่งการ “แขกขอยกเลิกรายการแล้ว เจ้าดูซิว่าควรทำเช่นไร”
“กับข้าวที่เหลือ ทั้งที่ทำแล้วแล้วยังไม่ทำ เจ้าเองก็จัดการเถอะ หากจัดการได้ไม่ดี เช่นนั้นเงินเดือนเดือนนี้ของเจ้าก็ไม่ต้องเอาแล้ว” เฉากุยหันกายอย่างปวดหัวก่อนจะเดินเข้าห้องนางยังสมทบอีกประโยค “หากทำได้ไม่เหมาะสม เช่นนั้นเจ้าก็อย่าหวังเงินเดือนเดือนหน้าเช่นกัน”
ความเสียใจนั้นของเฉากุยก็คือ ต่อให้จะพลิกสีหน้ากันแล้วก็ควรจะให้พวกเซียวเฉวียนได้กินอิ่มก่อนค่อยเผยโฉมหน้า นางเสียใจที่คิดไม่ได้แต่แรก
เสี่ยวเอ้อนั้นได้แต่มองขาแกะย่างในมืออย่างน่าสงสาร สีหน้าของเขาใสซื่อบริสุทธิ์ นี่เขาไปหาเรื่องใครมากัน?
เสี่ยวเอ้อเบนสายตาหันไปมองโต๊ะของผู้คุ้มกันด้านข้าง เขาพยายามยกยิ้มประจบ “ท่านแขก...”
ทุกคนต่างเป็นคนในยุทธภพ ผู้ที่เข้าใจ คำพูดอื่นๆ ไม่ต้องพูดก็เข้าใจแล้ว
ผู้คุ้มกันเข้าใจนั้นก็เข้าใจอยู่ เสี่ยวเอ้อต้องการให้พวกเขารับจานแกะย่างทั้งสามจานไป แต่ว่าพวกเขาปฏิเสธเสี่ยวเอ้อ พวกเขาเป็นเพียงแค่ผู้คุ้มกันเท่านั้น อาศัยเงินของคณะพ่อค้าเลี้ยงปากท้องครอบครัว จะไปมีเงินกินของหรูหราอย่างขาแกะอย่างได้อย่างไร
ฮือๆๆ!
เสี่ยวเอ้อเองก็อาศัยงานนี้เลี้ยงปากท้องคนในบ้านเช่นกัน หากขาดงานนี้ไป เขาคงต้องกินลมกินอากาศแทนแล้ว
และในเวลานี้เอง เสียงสวรรค์เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “ยกมานี่เถอะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...