มู่จิ่นเป็นคนฮว๋าเซี่ย อย่างนี้ก็สามารถจะอธิบายได้แล้ว
มู่จิ่นจากฮว๋าเซี่ยมาถึงซินเจียง รู้ตัวเองดีว่านี่เป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ความคุ้นชินของสังคมยากที่จะรับได้
ถ้าคนอื่นรู้ มู่จิ่นคงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้แน่นอน
ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไปก็คงไม่เป็นอะไร มันไม่ง่ายที่คนอื่นจะรู้ได้
นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่ มู่จิ่นกลายเป็นคนของสำนักหมิงเซียง
คนสำนักหมิงเซียงสามารถทำนายดวงได้ หนึ่งในนั้นการทำนายดวงของนักปราชญ์มีความล้ำลึกแม่นย้ำอย่างยิ่ง ในเมื่อนักปราชญ์สามารถทำนายได้ว่าเซียวเฉวียนเป็นแตกต่างจากคนอื่น ในไม่ช้าก็จะทำนายได้ว่ามู่จิ่นก็เช่นกัน ในจุดนี้ในใจของมู่จิ่นรู้ชัดเจนเป็นอย่างดี
ในสถานการณ์อย่างนี้ ถ้ามู่จิ่นต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไป จะทำสิ่งใดก็ต้องระมัดระวังให้มาก ห้ามแสดงพิรุธออกมาแม้แต่นิดเดียว
การใช้ชีวิตอย่างนี้ มู่จิ่นจะต้องรู้สึกเหนื่อยอย่างมาก
หลังจากที่เซียวเฉวียนและมู่จิ่นรู้จักกัน เซียวเฉวียนก็บอกมู่จิ่นทุกอย่างเกี่ยวกับการกระทำคำพูดของนักปราชญ์ เมื่อมู่จิ่นรู้ว่านักปราชญ์พยายามอย่างมากที่ต้องการจะฆ่าเซียวเฉวียนซึ่งเป็นคนฮว๋าเซี่ย และได้รู้ว่านักปราชญ์อ้างคำสั่งจากสวรรค์ หลังจากนั้นได้ทำร้ายผู้คนเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง เขาก็หมดความเคารพต่อนักปราชญ์
มู่จิ่นรู้สึกไม่มีความปลอดภัย รู้สึกไม่มีตัวตน เป็นเรื่องยากมากที่จะได้เจอเซียวเฉวียนที่เป็นคนบ้านเกิดเดียวกัน ก็เหมือนกับเรือลำเล็กๆลำหนึ่งที่ล่องอยู่ในแม่น้ำมาเป็นเวลานานในที่สุดก็ได้ขึ้นฝั่งมีที่พึ่งพาแล้ว
เมื่อเซียวเฉวียนปรากฏตัวขึ้นได้รู้จักกับมู่จิ่น สำหรับมู่จิ่นแล้วมันช่างถูกที่ถูกเวลาเหมาะเจาะมากจริงๆ
ถ้าเปลี่ยนจากโย่วควนเป็นมู่จิ่น โย่วควนก็คงไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว คงเลือกที่จะตามเซียวเฉวียนกับไปที่ต้าเว่ยด้วยกัน เซียวเฉวียนอยู่ที่ไหน เขาก็จะอยู่ที่นั้นด้วย
และอีกอย่าง ต้าเว่ยยังมีเว่ยอวี๋และเว่ยเป้ยที่มาจากฮว๋าเซี่ยเหมือนกัน
เซียวเฉวียนบอกว่า วัฒนธรรมของต้าเว่ยกับวัฒนธรรมฮว๋าเซี่ยโบราณมีหลายอย่างที่เหมือนกันมาก เป็นความรู้สึกถึงการมีตัวตนอย่างหนึ่ง
ความรู้สึกที่ได้มีตัวตนไม่มีสิ่งใดสามารถทดแทนได้ ถึงแม้ว่าในใจของมู่จิ่นจะรักมู่เวย ก็ไม่สามารถแทนที่ได้
ในเมื่อมู่เวยไม่ยอมไปต้าเว่ยกับมู่จิ่น มู่จิ่นก็ทำได้เพียงเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เขาคงต้องละทิ้งมู่เวย
ตราบใดที่สิ่งพื้นฐานยังคงอยู่ ในอนาคตก็จะบรรลุสิ่งที่ต้องการได้
และถ้ามู่จิ่นและมู่เวยมีโชคชะตาต่อกัน พวกเขาก็จงจะได้พบกันในวันหนึ่ง
สิ่งที่โย่วควนได้พูดอธิบายมานั้นถูกต้อง เมื่อได้ยินสิ่งที่โย่วควนคิดในใจเซียวเฉวียนก็พยักหน้าเห็นด้วย มีความสุขเกิดขึ้นเอง เหมือนลูกของเขาในที่สุดก็เติบโตขึ้นแล้ว
ในตอนนี้เมื่อโย่วควนได้มองปัญหาอย่างมีวุฒิภาวะมากขึ้นมีความนิ่งมั่นคงชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้นสามารถยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวเอง
เซียวเฉวียนได้พี่น้องที่ดีเพิ่มมาอีกหนึ่งคน ยอดเยี่ยมมาก!
ดูแล้วการเดินทางมาซินเจียงในครั้งนี้และพาโย่วควนมาด้วยเป็นสิ่งที่ฉลาดมาก
ทั้งสามคนพูดคุยและร่วมเดินไปด้วยกัน ไม่ทันรู้ตัว ออกจากโรงเตี๊ยมมาได้ไม่ไกล
สถานที่ใกล้ๆโรงเตี๊ยม มีพุ่มไม้หน้าทึบอยู่ ในตอนนั้นพวกเขากำลังจะผ่านเส้นทางตรงนั้น
และในตอนนั้น ทันใดนั้นก็มีเงาของคนสองคนพุ่งออกมา ฝ่ามือที่รุนแรงพุ่งโจมตีเซียวเฉวียน
เซียวเฉวียนไม่ทันรู้ตัว ด้านหลังก็โดนฝ่ามือทั้งสองเข้าเต็มๆ เลือด “เอือก!” พุ่งออกมาจากปากของเขา
“นายท่าน!”
“เซียวเฉวียน!”
โย่วควนและเซียวเฉวียนอุทานออกมาพร้อมกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...
ไหนบอกรักลูกน้องหนักหนา เด็กมันอยากจะเข้าไปเป็นสนมก็จะปล่อยให้เข้าไปงั้นเหรอ ตัวเอกเรื่องนี้มันยังไง พิมพ์ด่านะ แต่ก็อ่าน 55555...