ความสามารถเซียวเฉวียนฝึกฝนออกมา แค่ต้องเป็นวัสดุโดยแท้จริง ต้องยืดหยุ่นได้
นักศึกษาในต้าเว่ยเหล่านี้มีความคิดที่หัวโบราณเกินไป พวกเขาอ้างว่าเป็นผู้รู้หนังสือ มีจิตใจสูงส่ง
นอกจากความเป็นคงแก่เรียน อย่างอื่นก็ไม่เป็นสักอย่าง แถมยังอยากได้หน้าด้วย
บัดนี้ เซียวเฉวียนแค่อยากขยี้หน้าของพวกเขา
ให้พวกเขาเฝ้าเถามันเทศนับว่าดีที่สุดแล้ว
ถึงคราวกลับต้าเว่ย เซียวเฉวียนจะได้กราบทูลต่อฮ่องเต้ว่าจิ้นซื่อเฝ้าเถามันเทศอย่างดี จิ้นซื่อที่ติดตามเซียวเฉวียนกลับซินเจียงได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกกฎระเบียบ
ดั่งสำนวนที่ว่า ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
ยอดเยี่ยม !
พอทุกคนได้ยินคำพูดของเซียวเฉวียนต่างทยอยกันพึมพำในใจ “แสดงความเห็นแล้วมันได้ประโยชน์ไหม?”
พวกเขารู้ว่าแสดงความเห็นไปก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นพวกเขาจึงโพล่งออกไปพร้อมกัน “ไม่ ไม่มีความเห็น”
“งั้นก็ดี ข้าดีใจมาก” เซียวเฉวียนปรายตามองคนไม่จริงใจเหล่านี้ ก่อนจะยิ้มเยาะในใจอย่างอดไม่ได้ ใบหน้าของพวกเขากลับแสดงสีหน้าชื่นชมบาง ๆ “เวลาไม่เคยคอยท่า เราออกเดินทางกันเถอะ”
ดังนั้นเซียวเฉวียนและพรรคพวกเดินทางกลับต้าเว่ยพร้อมกับตะกร้าหวายสองใบ
การกลับมาครั้งนี้ ในสายตาของชาวซินเจียง เซียวเฉวียนลำบากยากเข็ญ นอกจากทารกน้อยในอ้อมกอดของเซียวเฉวียน ตะกร้าหวายสองใบในกองทัพก็ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่านี้อีกแล้ว
ดูท่าราชบุตรเขยแห่งซินเจียงคนนี้ต้องไม่เป็นที่ยอมรับในราชวงศ์
สมน้ำหน้า!
ใครใช้ให้เซียวเฉวียนคว้าแค่เมล็ดบัวติดมือมาบางส่วนเล่า
คาดว่าตะกร้าหวายสองใบนี้ต้องได้รับพระราชทานมาจากกษัตริย์และราชินีแน่ ๆ?
ฮ่า ๆ !
น่าสนใจ น่าสนใจยิ่งนัก
ในตอนนี้เอง ชาวซินเจียงที่มุงดูเหตุการณ์ก็พากันเอ่ยขึ้น “ข้าได้ยินมาว่าคนที่มีผิวเนียนขาวเหล่านั้นเป็นจิ้นซื่อแห่งต้าเว่ย พวกเจ้าคิดว่าต้าเว่ยไม่มีใครหรือไม่รู้จะทำอย่างไรไหม ให้จิ้นซื่อมาปกป้องตะกร้าหวายสองใบ ไม่เคยได้ยินและไม่เคยเห็นมาก่อนจริง ๆ”
ชาวซินเจียงยิ้มเยาะ
คำพูดของพวกเขาดึงดูดชาวซินเจียงโดนรอบพากันยิ้มเยาะอย่างมีเลศนัย
เสียงหัวเราะของพวกเขาไม่เบาเลย แม้แต่เซียวเฉวียนและคนอื่นยังได้ยิน
เซียวเฉวียนมีสีหน้าเหมือนเดิม ทว่าสีหน้าของจิ้นซื่อกลับดูไม่ดีเอาเสียเลย
เดิมทีเซียวเฉวียนต้องการให้พวกเขาปกป้องเถามันเทศไว้ แต่ลึก ๆ แล้วจิ้นซื่อเกิดความไม่พอใจ ชาวซินเจียงได้แต่ยิ้มเยาะ สีหน้าของจิ้นซื่อก็ยังดูประหลาดใจมากขึ้น
หนึ่งในจิ้นซื่อเอ่ยอย่างกล้าหาญว่า “อาจารย์ ท่านดูสิ พวกเขาหัวเราะเยาะข้า”
“ก็ให้พวกเขาหัวเราะกันให้พอ เราไม่ได้หน้าบางเพียงนั้น” เซียวเฉวียนหันไปมองจิ้นซื่อแวบหนึ่งด้วยสายตาเรียบเฉย
สายตานี้ทำให้จิ้นซื่อตื่นตระหนก จนเขาต้องปิดปาก แล้วติดตามกองกำลังอย่างว่าง่าย
เซียวเฉวียนเดินไปข้างหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือจะให้เขายิ้มบาง ๆ และโบกมือไปมาล่ะ
ถึงอย่างไรองค์หญิงต้าถงก็สูงส่งในใจของทุกคน นางเป็นที่รักและได้รับความเคารพจากราษฎร์ ในฐานะที่เซียวเฉวียนเป็นราชบุตรเขยขององค์หญิงต้าถง คงจะลดความสูงส่งในใจของทุกคนลงไม่ได้ เซียวเฉวียนต้องเป็นมิตรกับทุกคน
ภาพนี้คล้ายกับต้องประจบทุกคนอย่างไรอย่างนั้น
เซียวเฉวียนยังมีอารมณ์ยิ้มอีกนะ?
ทุกคนต่างคาดเดาอยู่ในใจแล้ว ราชบุตรเคยผู้นี้ไม่ใช่คนโง่เขลา?
ต่อให้เป็นคนโง่ กษัตริย์และราชินีก็ยังให้แค่ตะกร้าหวายกับเขา เขาจะไม่ดีใจได้อย่างไร?
หวายมันจะไปมีประโยชน์อะไร
เฮ้อ!
น่าเสียดาย
น่าเสียดายที่องค์หญิงผู้เลอโฉมของเราแต่งงานกับคนเช่นนี้
น่าเสียดายจริง ๆ
ในตอนนี้เอง ก็มีคนสองคนพรวดพราดออกมาจากฝูงชน สองคนนี้แต่งกายด้วยชุดดำทั้งตัว แถมยังปิดหน้าปิดตา
“เซียวเฉวียน เจ้าตายเสียเถอะ”
สองคนนั้นตะโกนด้วยความโกรธแค้นพร้อมกับพุ่งกระบี่ไปยังเซียวเฉวียน
ว้าว!
ไม่ต้องสงสัย ชาวยุทธิ์แท้อย่างเซียวเฉวียนชนะขาดลอย
ชาวยุทธิ์แท้ลากนักฆ่ามาตรงหน้าของเซียวเฉวียน ชาวยุทธิ์แท้คว้าดาบแทงขาของนักฆ่า นักฆ่าหนึ่งในนั้นทรุดลงตรงหน้าของเซียวเฉวียน
ทั้งสองคนพยายามลุกขึ้นยืน แต่ก็จนปัญญาเพราะพลังของพวกเขาสู้ชาวยุทธิ์แท้ไม่ได้ สุดท้ายก็ยืนไม่ไหว
แต่สมองของนักฆ่าสองคนนี้ก็ดูจะประหลาดไม่น้อย พวกเขาเห็นว่าตัวเองยืนไม่ไหว พวกเขาเพียงแค่นั่งจ้องเซียวเฉวียนอยู่บนพื้นด้วยสายตาเย็นชา
เซียเฉวียนคือคนที่อยากฆ่า แต่นักฆ่าสองคนนี้คือคนสำนักหมิงเซียน พวกเขาเป็นตัวแทนสวรรค์
ให้พวกเขาคุกเข่าลงตรงหน้าเซียวเฉวียน?
ฝันไปเถอะ!
เซียวเฉวียนส่งเสียง หึ “สำนักหมิงเซียนใช่ไหม? เจอจุดพักแล้วใช่ไหม?
ทันทีที่เซียวเฉวียนโพล่งออกไป นักฆ่าสองคนนั้นก็ตะลึงงัน พวกเขาแต่งกายเหมือนกัน เซียวเฉวียนรู้ได้อย่างไรว่าเป็นคนสำนักหมิงเซียน?
เขาพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? เจอจุดพักคืออะไร?
หรือว่าเซียวเฉวียนจะรู้ว่าสำนักหมิงเซียนถูกทำลายแล้ว?
“ใช่ ข้าไม่เพียงแต่รู้เท่านั้น ตอนนั้นข้าอยู่บนภูเขา” เซียวเฉวียนแสยะยิ้มเย็นชา มีแค่พวกเขาที่ได้ยินเสียงนี้
“เหอะ!กลับไปบอกเจ้าสำนักของพวกเจ้า รอข้าก่อน อย่าเพิ่งโกรธจนขาดใจตายก่อนล่ะ” เซียวเฉวียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ตัดมือพวกเขาเสีย”
“อ๊าก!”
“อ๊าก!”
สิ้นสุดคำสั่ง เสียงร้องอย่างน่าเวทนาก็ดังขึ้น
จากนั้นคนสำนักหมิงเซียนสองคนนี้ก็สลบไป
ชาวยุทธิ์แท้ถือโอกาสพาพวกเขาไปโยนทิ้งข้างถนน
สนามที่อบอวลด้วยกลิ่นคาวเลือดนี้พาให้ทุกคนอกสั่นขวัญแขวน
นี่...นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...