กลุ่มของเซียวเฉวียนยังคงมุ่งเดินหน้าต่อไปเสมือนกับว่ามิมีสิ่งใดเกิดขึ้น
ในระหว่างการเดินทางนั้น ท้องฟ้าพลันค่อย ๆ มืดมิดลงเรื่อย ๆ
ผ่านไปไม่นานนัก แสงอาทิตย์สุดท้ายพลันค่อย ๆ ลับขอบฟ้าไป พร้อมกับความมืดมิดที่เข้ามาแทนที่
ในยุคโบราณที่ไม่มีแสงไฟเช่นนี้ การเดินทางในยามราตรีย่อมเต็มไปด้วยความยากลำบาก
ดังนั้น เซียวเฉวียนจึงสั่งให้คณะเดินทางหยุดพักผ่อนเสียก่อน
นับว่าโชคดีที่สภาพแวดล้อมในยุคสมัยโบราณหาได้มีมลพิษใด ๆ ไม่ ท้องฟ้าในยามราตรีจึงโล่งโปร่งยิ่งนัก ทั้งยังแจ่มใสเสียจนเห็นดวงดาวที่ส่องแสงสุกสกาวมากมาย ราวกับแสงสว่างที่ส่องลงมาต้องการจะแบ่งแยกพื้นโลกและท้องฟ้าเอาไว้
ผู้คนที่เหลือจึงใช้โอกาสจากแสงของดวงดาวที่ส่องลงมานั้น พากันออกหาฟืนเพื่อมาจุดก่อไฟ
ในท้องที่ถิ่นทุรกันดารเช่นนี้ เมื่อยามราตรีมาถึงอุณหภูมิโดยรอบจึงลดลงไปเสียหลายองศา
ผู้มีวรยุทธ์เช่นเซียวเฉวียนนั้น ย่อมมิคิดว่ามันเป็นปัญหาใหญ่แต่อย่างใด ทว่าเหล่าจิ้นซื่อพวกนั้นกลับมีอาการสั่นสะท้านไปด้วยความหนาวแทน พวกเขาพลันก่อกองไฟไปด้วย พร้อมกับเอามือสองข้างถูไปมาเข้าหากัน เพื่อหวังว่าการทำเช่นนี้จักทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น
เมื่อเซียวเฉวียนเห็นแบบนั้นแล้ว เขาจึงค่อย ๆ ปลดปล่อยความร้อนของผนึกจูเสินออกมาอย่างเงียบ ๆ เพื่อกระจายความร้อนความอบอุ่นให้แก่ทุกคน
หลังจากกระจายความร้อนออกไปหมดแล้วนั้น เหล่าจิ้นซื่อจึงค่อย ๆ หยุดถูฝ่ามือของตัวเอง จากร่างกายที่โค้งงอตัวของพวกเขานั้น ก็กลับมานั่งยืดหลังตรงตามเดิม ดูเหมือนว่าพวกเขาจักสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นแล้ว
ค่ำคืนที่ยาวนาน ยังเร็วไปที่จะเข้านอนในเวลานี้
ในขณะที่มีบางคนกำลังนั่งผิงไฟ พวกเขาจึงพากันเอ่ยพูดคุยกันขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อน
เหล่าปัญญาชนในยุคสมัยโบราณกับเหล่าผู้ฝึกยุทธ์นั้น พวกเขาหาได้มีการเข้าห้ำหั่นกันไม่ ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเองก็มิได้ปัญหาแต่อย่างใด ฉะนั้นแล้ว ในยามนี้พวกเขาจึงสรรหาเรื่องมาพูดคุยกันมิมีหยุด
พร้อมกับสถานการณ์ที่ตกสู่ความเงียบงัน
ทุกคนต่างก็จ้องมองดูเปลวไฟที่กำลังเต้นระบำไปมาอย่างเงียบ ๆ
หลังจากที่เซียวเฉวียนเอ่ยสั่งสอนพวกเขาไปมากมายนั้น ไม่เพียงแต่ความคิดของเหล่าจิ้นซื่อที่มีต่อชาวยุทธ์แท้จะเปลี่ยนไป ทั้งยังให้ความสนใจกับเถามันเทศทั้งสองกระถางเป็นพิเศษอีกด้วย
ความหนาวเหน็บในยามราตรีเช่นนี้ เหล่าจิ้นซื่อพลันกลัวว่าเถามันเทศจะเกิดแข็งตัวขึ้นมา ดังนั้นพวกเขาหลายคนจึงได้พากันเคลื่อนย้ายกระถางมันเทศมาใกล้กองไฟมากขึ้น เพื่อให้พวกมันสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น
เมื่อเหล่านักฆ่าที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดเห็นฉากนี้ขึ้นมานั้น พวกเขาเองยังอดมิได้ที่จะอิจฉาเถามันเทศทั้งสองกระถางขึ้นมา
มารดามันเถิด!
แม้แต่เถามันเทศสองกระถางนี้ยังได้รับการปฏิบัติตัวที่ดีกว่าพวกเขาที่เป็นนักฆ่าเสียอีก ใต้หล้าล้วนแต่เป็นโลกมายา
ไม่ เป็นเพราะเซียวเฉวียนที่แปลกประหลาดเกินคนต่างหาก
ในระหว่างทาง เหล่านักฆ่ามองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน เซียวเฉวียนมักจะเอาแต่หันกลับไปมองเถามันเทศทั้งสองกระถางอยู่บ่อยครั้ง เขากระทำตัวเสียเหมือนกับว่าเถามันเทศทั้งสองกระถางนั้น เสมือนกับสิ่งของหรือสมบัติล้ำค่าอะไรบางอย่างก็ไม่ปาน
ใช่เรื่องหรือ?
มันมิใช่แค่เถามันเทศสองกระถางหรืออย่างไรกัน มันจะไม่ค่าอันใดมากมาย?
ท่านนักปราชญ์กล่าวว่า หากสังหารเซียวเฉวียนได้เมื่อใดนั้น ก็ให้จัดการทำลายสิ่งของที่เซียวเฉวียนให้ความรักและความสำคัญมากที่สุดไปด้วยเสีย
ฮ่าฮ่า
ในเมื่อเซียวเฉวียนให้ความสำคัญกับเถามันเทศทั้งสองกระถางนี้มากนัก พวกเขาจักดึงเถามันเทศออกมา พร้อมกับโยนมันลงในกองไฟและจุดไฟเผาทำลายให้มันมอดไหม้เสีย!
“ฮัดชิ้ว!” เนื่องจากอุณหภูมิโดยรอบที่ลดลงต่ำเกินไป จนทำให้อากาศหนาวมากเสียจนนักฆ่าเผลอตัวจามออกมาอย่ามิทันได้ระวังตัว
เสียงจามที่ดังขึ้นในครานี้ ทำเอาเหล่าชาวยุทธ์แท้ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา "ใครกัน! ออกมาเสีย!"
เมื่อเห็นว่าร่องรอยของตนเองถูกเผยตัวออกมาแล้วนั้น เหล่านักฆ่าจึงมิอาจหลบซ่อนตัวได้อีกต่อไป
พร้อมกับการเคลื่อนตัวที่เร็วไวของเหล่านักฆ่าทั้งหลาย ลุกขึ้นมาประชันหน้าต่อเซียวเฉวียนในทันที
ในมือของเหล่านักฆ่าพลันถือกิ่งหลิวเอาไว้ พร้อมกับโบกกิ่งหลิวในมือไปมาราวกับมิได้ตั้งใจ พลางจับจ้องมองมาที่เซียวเฉวียนด้วยนัยน์ตาที่แฝงไปด้วยความชั่วร้าย
ท่านนักปราชญ์กล่าวว่า กิ่งหลิวจักเป็นอาวุธวิเศษที่ช่วยควบคุมชาวคุนหลุนและชาวต้าเว่ยเอาไว้
ทว่า พวกเขามิเคยได้มีโอกาสใช้งานกิ่งหลิวมาก่อน นับว่าวันนี้โชคดีที่จะทดสอบพลังความยิ่งใหญ่ของกิ่งหลิวดูเสียที พวกเขาอยากจะรู้นักว่ากิ่งหลิวจักควบคุมชาวต้าเว่ยที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาได้อย่างไร
เมื่อรู้สึกได้ถึงพลังงานการมีอยู่ของกิ่งหลิวนั้น กำลังภายในของเซียวเฉวียนพลันเกิดการแปรปรวนขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งไปในทันที เป็นผนึกจูเสินที่สัมผัสได้ถึงเค้าลางไม่ดี พร้อมกับเอ่ยออกมาด้วยความไม่สบายใจว่า: "เซียวเฉวียน เจ้าระวังกิ่งหลิวในมือของพวกเขาเอาไว้ให้ดี"
เซียวเฉวียนพลางจ้องมองไปยังกิ่งหลิวที่อยู่ในมือของนักฆ่าเหล่านั้นด้วยความเย็นชา ภูเขาหมิงเซียนที่ถูกเผาจนราบเป็นหน้ากลองไปแล้วเช่นนี้ เซียวเฉวียนมิคาดคิดเลยว่า ในมือของพวกเหล่านักฆ่าจะยังมีกิ่งหลิวอยู่ในมือได้อีก
ยาที่อยู่ในต้าเว่ยนั้น ไม่เพียงแต่นักปราชญ์จักได้รับบาดเจ็บ ทั้งยังต้องคอยเอาแต่หลบ ๆ ซ่อน ๆ ตัว เกรงว่าชิงหลงจักมาสร้างปัญหาให้แก่เขา
ธรรมชาติย่อมเคลื่อนโคจรไป สวรรค์มิเคยทอดทิ้งผู้ใด?
วิถีแห่งเต๋านั้น ในเมื่อนักปราชญ์ทำสิ่งที่เป็นอันตรายต่อผู้อื่น มิช้าสิ่งนั้นก็จะส่งผลเสียต่อตนเองในที่สุด
ทว่า แม้แต่ผนึกจูเสินยังหวาดเกรงในกิ่งหลิวกิ่งนี้ เช่นนั้นเซียวเฉวียนย่อมมิอาจดูเบามันไปได้ พลางเอ่ยตอบรับออกมาด้วยท่าทีเสียงแข็งว่า: "ได้ ข้าเข้าใจแล้ว"
กิ่งหลิวกิ่งนี้ถูกสร้างขึ้นจากเถ้าถ่านของเพลิงชุ้นเจี่ยน อีกทั้งเพลิงชุ้ยเจี้ยนมันยังมีความสามารถในการควบคุมชาวคุนหลุนและสรรพสิ่งที่เกิดจากคุนหลุนอีกด้วย
ฉะนั้นแล้ว ชาวต้าเว่ยที่เป็นหนึ่งในสาขาที่แตกแยกออกมาจากชาวคุนหลุนนั้น ย่อมสามารถถูกกิ่งหลิวเข้าควบคุมได้เช่นกัน
การที่นักปราชญ์ใช้กิ่งหลิวมาเป็นเครื่องมือต่อกรต่อเซียวเฉวียนเช่นนี้ นับว่าเป็นวิธีการที่ชาญฉลาดยิ่งนัก
“เซียวเฉวียน หากเจ้ามิอยากตกตายไปอย่างอนาถละก็ เจ้าก็จบชีวิตตนเองเสีย” เหล่าผู้นำนักฆ่าพลางแย้มยิ้มออกมาด้วยท่าทีได้ใจ พลางจ้องมองมาที่เซียวเฉวียนด้วยท่าทีโหดเหี้ยม
พวกเขารู้อยู่แล้วว่าเป็นเซียวเฉวียนที่ทำลายภูเขาหมิงเซียน ทั้งยังเป็นเซียวเฉวียนอีกด้วยที่ทำการสังหารสหายพี่น้องของพวกเขาไป
หากพวกเขามิทำการสังหารเซียวเฉวียนเพื่อหนทางแห่งเต๋าแล้วไซร้ เขาจะยังเรียกตนเองว่าคนของหมิงเซียนได้อีกหรือ
"เฮอะ!" เซียวเฉวียนพลางส่งเสียงหัวเราะเยาะเย้ยออกมาด้วยความเย็นชา นัยน์ตาพลันปรากฏร่องรอยของความไม่สบอารมณ์ออกมาในทันที "ต้องการชีวิตของข้า? เช่นนั้นก็ต้องมาดูกันว่าเจ้ามีความสามารถมากพอหรือไม่!"
“รนหาที่ตายดีนัก! ฆ่ามัน!” เมื่อเห็นท่าทีของเซียวเฉวียนที่ดูถูกตนเองนั้น ผู้นำนักฆ่าพลันออกคำสั่ง พร้อมกับถือกิ่งหลิวเพื่อมุ่งหน้าไปสังหารเซียวเฉวียนในทันที
ด้วยการต่อสู้รุกรับเข้าใส่ที่รุนแรงเช่นนี้ เหล่าชาวยุทธ์แท้ทั้งหลายต่างพากันเตรียมตัวที่จะเข้ามาช่วยเหลือเซียวเฉวียนในทันที ยังมิทันที่พวกเขาจะได้เคลื่อนตัวอันใด กลับถูกเซียวเฉวียนเอ่ยห้ามปรามเอาไว้ก่อนว่า "พวกเจ้าไปอีกด้านหนึ่ง คอยคุ้มกันและคุ้มครองเถามันเทศและจิ้นซื่อเอาไว้ให้ดี"
แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อบุตรีที่อยู่ในอ้อมอกของเซียวเฉวียนสัมผัสได้ว่าบิดาของตนกำลังตกอยู่ในอันตรายนั้น จากเด็กที่ว่านอนสอนง่าย จู่ ๆ นางพลันแผดเสียงร่ำไห้ออกมาดังลั่นในทันที
“อั๊ยหยา เจ้าบรรพบุรุษตัวน้อยของพ่อ เจ้าอย่าสร้างปัญหาให้กับพ่อในยามนี้ได้หรือไม่?” เซียวเฉวียนที่พยายามหลบหลีกการโจมตีของเหล่านักฆ่านั้น ทั้งยังต้องหันมาเอ่ยปลอบใจบุตรีตัวน้อยในอ้อมอกของตนเองไปด้วย
หากแต่การเกลี้ยกล่อมของเซียวเฉวียนนั้น กลับทำให้สาวน้อยกลับร้องไห้เสียงดังลั่นกว่าเดิมเสียอีก หยาดน้ำตาเม็ดใหญ่ ๆ พลันไหลลงมาที่หางตาของนาง พร้อมกับไหลลงหยดไปยังป้ายหยกประจำตัว
ทันใดนั้น ป้ายหยกประจำตัวพลันเปล่งแสงสีขาวอันเจิดจ้าออกมาในทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...