เมื่อนักฆ่าเห็นเลือดในมือของตนเองที่ไหลออกมามากมายนั้น เขาพลันจ้องมองจนตาแทบจะถลนอกมาในทันที ก่อนจะพยายามกดปากแผลของตนเองเอาไว้ พลางเอ่ยพึมพำกับตนเองว่า "เลือด เลือด เลือดเยอะมาก"
เลือดไหลเยอะกว่าปืนมู่จิ่นยิ่งออกไปเสียอีก
พูดไปพูดมา จู่ ๆ นักฆ่าก็ล้มหมดสติล้มลงไปกับพื้นในทันที
ดูท่าว่า นักฆ่าผู้นี้คงจะเป็นคนกลัวเลือดอย่างแน่นอน
หากว่ากันตามตรงนักฆ่าผู้นี้ก็แปลกประหลาดเสียจริง ตนเองเป็นถึงนักฆ่ามือฉมังแท้ ๆ กลับเป็นลมหมดสติไปเพราะกลัวเลือด
ใต้หล้าที่กว้างใหญ่ ช่างมีสิ่งมหัศจรรย์เยอะแยะมากมายเสียจริง
ดาบที่เซียวเฉวียนฟาดฟันลงไปนั้น หาได้ทำร้ายบาดแผลบนมือของนักฆ่าลึกไม่
นั่นเป็นเพราะ เซียวเฉวียนนึกเสียดายคนที่ฝีมือดีเช่นนี้ เขาจึงทำใจไม่ได้ที่จะต้องปล่อยให้เหล่านักฆ่าของจางเคอตกตายไป เซียวเฉวียนนึกอยากจะเก็บพวกเขาเอาไว้ เพื่อที่จะได้มีโอกาสทำคุณประโยชน์ให้กับราชวงศ์ต้าเว่ย
"เปิดตามองของพวกเจ้าเอาไว้ให้ดี คนพวกนี้เองก็เป็นคนที่ทำงานให้กับเว่ยเชียนชิวเช่นกัน หลังจากที่พวกเขาได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเว่ยเชียนชิวแล้วนั้น จึงได้ละทิ้งหนทางมืดดำเพื่อหันหน้าเข้าหาแสงสว่างของชีวิตเช่นนี้ ทั้งยังมิคิดเป็นศัตรูของข้าอีก" เซียวเฉวียนกล่าวออกมาอย่างเย็นชา
“ข้าจักให้โอกาสพวกเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย พวกเจ้ายังนึกอยากเป็นศัตรูต่อข้าอีกหรือไม่?” เซียวเฉวียนจ้องมองพวกเขาด้วยสายตาที่เย็นชา
ทันใดนั้น เหล่านักฆ่าพลันสัมผัสได้ว่า กลิ่นอายทั่วตัวของเซียวเฉวียนนั้นกลับเปลี่ยนไปจากเดิม
เซียวเฉวียนในยามนี้ ทั่วร่างกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหาร ทำให้ผู้คนที่ได้พบเจอรู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก
ด้วยพละกำลังเช่นนี้ มิต่างอันใดกับพละกำลังของมือสังหารฝีมือดีด้วยซ้ำ
เหล่านักฆ่าต่างพากันลอบมองหน้ากัน ในชั่วขณะนั้น พวกเขามิแน่ใจว่าเป้าหมายของตนเองควรที่จะสังหารเซียวเฉวียนต่อไปหรือไม่ หรือควรจะละทิ้งหนทางมืดดำเพื่อเข้าสู่แสงสว่างแทน
เหล่านักฆ่าทั้งหลายต่างก็กวาดสายตามองดูเหล่าชาวยุทธ์แท้ที่กำลังประมือกับคนของสำนักหมิงเซียนอยู่นั้น กระบวนการท่าทางทุกอย่างที่ชาวยุทธ์แท้ใช้ เหล่านักฆ่าล้วนแต่เคยพบเจอมันมาก่อน มันเป็นกระบวนท่าของเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาที่เว่ยเชียนชิวใช้อย่างแน่นอน
อีกทั้ง ทั่วทั้งต้าเว่ยเอง ก็มีเพียงเว่ยเชียนชิวเท่านั้นที่ชุบเลี้ยงเหล่าชาวยุทธ์เพื่อเอาไว้ใช้การมากมายเช่นนี้
ฉะนั้นแล้ว เหล่านักฆ่าจึงมั่นใจได้แล้วว่า ชาวยุทธ์แท้เหล่านี้ล้วนแต่เป็นข้ารับใช้ของเว่ยเชียนชิวมาก่อนอย่างแน่นอน
อีกทั้ง เหล่านักฆ่าเองก็เห็นมากับตาว่าชาวยุทธ์เหล่านี้กำลังช่วยเซียวเฉวียนต่อกรกับศัตรูอยู่จริง ๆ เมื่อเป็นเช่นนั้น หากพวกเขาจะยอมจำนนต่อเซียวเฉวียนก็คงจะมิผิดอะไร
ชั่วขณะหนึ่ง ความมุ่งมั่นของนักฆ่าฝ่ายจางเคอที่เคยสาบานว่าจักรับใช้ไปจนตายเกิดสั่นคลอนขึ้นมา...
เมื่อเซียวเฉวียนเห็นว่าความคิดของพวกเขากำลังสั่นคลอนนั้น เขาจึงเอ่ยขึ้นมาอย่างใจเย็นว่า "พวกเจ้าคิดพิจารณาให้ดีเสีย"
“หากพวกเจ้ามิคิดเป็นศัตรูกับข้าต่อไปละก็ เช่นนั้นพวกเจ้าก็สามารถจากไปจากที่ตรงนี้ได้แล้ว” เซียวเฉวียนเอ่ยออกมาด้วยท่าทีเฉยเมย “พวกเจ้าเองก็คงมิมีสิ่งใดติดค้างต่อจางเคออีกแล้วใช่หรือไม่?”
เหล่านักฆ่ามีความสามารถและวรยุทธ์แข็งแกร่งจนมาถึงขั้นนี้ได้นั้น หาใช่เรื่องที่จะสามารถบรรลุได้เพียงแค่ข้ามคืนวันไม่ พวกเข้าจักต้องฝึกฝนวรยุทธ์มาตั้งแต่เล็กอย่างแน่นอน
ดูท่าแล้ว พวกเขาคงจะเป็นเหล่านักฆ่าที่ตระกูลจางชุบเลี้ยงมาตั้งแต่เด็กเพื่อฝึกฝนให้เป็นนักฆ่าของตระกูลกระมัง
ฉะนั้นแล้ว แม้แต่เหล่านักฆ่าเองก็คงไม่รู้กระมังว่าตนเองคือผู้ใด
อาจกล่าวได้ว่า การมีอยู่ของนักฆ่าเหล่านี้เป็นสิ่งที่ตระกูลจางหลงเหลือหนทางรอดไว้ให้กับตนเอง
ตระกูลจางเองก็คงจะเตรียมตัวไว้สองทางเช่นกัน เผื่อเอาไว้ว่าเว่ยเชียนชิวหมดประโยชน์เมื่อใด พวกเขาเองก็จักได้ใช้ประโยชน์จากนักฆ่าเหล่านี้เอาตัวรอดไปได้
กระต่ายเจ้าเล่ห์มีสามโพรงเช่นตระกูลจาง พวกเขาสามารถอยู่รอดมาได้ในยามที่ใต้หล้าเกิดความวุ่นวายเช่นนี้
นับว่าตระกูลจางคิดหนทางวางแผนได้อย่างรอบคอบยิ่งนัก
หลังจากที่เหล่านักฆ่าได้ฟังคำพูดของเซียวเฉวียนแล้วนั้น พวกเขาต่างก็ตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิดของตนเองในทันที เป็นดั่งที่เซียวเฉวียนเอ่ยออกมามิผิด พวกเขาหาได้ติดค้างอันใดกับจางเคอไม่
ตั้งแต่ที่พวกเขาจำความได้นั้น พวกเขาก็อาศัยอยู่ภายในจวนตระกูลจางมาตั้งแต่เล็กแล้ว
ทุก ๆ วัน พวกเขาต้องเอาแต่ฝึกซ้อมวรยุทธ์ภายใต้แส้ที่ถูกเฆี่ยนตีลงมามิมีหยุด
วันแล้ววันเล่า นอกเหนือจากการฝึกฝนวรยุทธ์แล้วนั้น พวกเขาก็ได้ฟังเรื่องราวซุบซิบของสาวใช้และข้ารับใช้ภายในตระกูลจางอีกด้วย
ดังนั้น นักฆ่าเหล่านี้จึงชื่นชอบการฟังเรื่องซุบซิบนินทาเป็นที่สุด
หากว่ากันตามจริงแล้วนั้น ระหว่างทางที่พวกเขาไล่ตามสังหารเซียวเฉวียนมานั้น พวกเขาเองต่างก็เห็นมากับตาว่าเซียวเฉวียนปฏิบัติต่อโยวควนที่เป็นเพียงข้ารับใช้ได้ดีเพียงใด เขาปฏิบัติตัวเสมือนกับพี่น้องของตนเองก็มิปาน
การกระทำเช่นนี้ มิอาจแสร้งทำออกมาได้แน่
เมื่อนึกไปถึงการกระทำที่ตระกูลจางปฏิบัติต่อพวกเขานั้น ราวกับพวกเขาเป็นหมูเป็นหมาก็มิปาน
หลังจากที่พวกเขาจะถูกส่งมอบให้อยู่ใต้คำสั่งของจางเคอแล้วนั้น จางเคอเองก็หาได้ปฏิบัติตัวพวกเขาดีไม่ มักจะร้องตะโกนใส่พวกเขาไม่มีหยุด ทั้งยังดุด่าต่อว่าไล่ตีพวกเขาอีกด้วย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...
ไหนบอกรักลูกน้องหนักหนา เด็กมันอยากจะเข้าไปเป็นสนมก็จะปล่อยให้เข้าไปงั้นเหรอ ตัวเอกเรื่องนี้มันยังไง พิมพ์ด่านะ แต่ก็อ่าน 55555...