เพียงชั่วครู่ที่เซียวเฉวียนเอาแต่จดจ่ออยู่กับการรับมือเหล่านักฆ่าที่อยู่ตรงหน้านั้น เขาหาได้สนใจสิ่งอื่นใดไม่
ฉะนั้นแล้ว เซียวเฉวียนจึงมิทันได้สังเกตเห็นนักฆ่าคนหนึ่งที่กำลังวิ่งไปหาเถามันเทศ
แม้แต่ชาวยุทธ์และมู่จิ่นเองก็คิดไม่ถึงว่าเหล่านักฆ่าจะใช้วิธีการเช่นนี้
ยามที่พวกเขาได้สติกลับมาแล้วนั้น นักฆ่าพลันทำสำเร็จในทันที มือของนักฆ่าพลางคว้าเถามันเทศกระถางหนึ่งเอาไว้ ก่อนจะใช้แรงถอนมันออกมาอย่างแรง
ดินในกระถางถึงกับจัดกระจายไปทั่วทุกที่ พร้อมด้วยหัวใจของเซียวเฉวียนที่รู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก
เฮอะเฮอะ!
เถามันเทศที่ถูกนักฆ่าดึงขึ้นมานั้น พลันปรากฏหัวมันเทศที่มีขนาดครึ่งหนึ่งของกำปั้นห้อยออกมาจากรากก่อนจะส่งกลิ่นหอมฉุยออกมา
เหล่านักฆ่าหาได้เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อนไม่ พวกเขาต่างมองมันด้วยความสงสัย ก่อนจะอุทานภายในใจว่านี่มันคือสิ่งใดกัน?
ในขณะเดียวกันนั้น มู่จิ่นพลันเล็งปืนไปที่นักฆ่าผู้นั้นในทันที ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยท่าทีเย็นชาว่า "วางสิ่งที่เจ้าถืออยู่ในมือลงไปเสีย! มิเช่นนั้นข้าจะลั่นไกปืนจริง ๆ ด้วย!"
นักฆ่าพลางยกเถามันเทศขึ้นสูง ก่อนจะหันมามองดูมู่จิ่นด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมว่า "ข้าก็ว่าเป็นผู้ใดมันคือใคร? ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่มู่จิ่นเองหรือ"
อันที่จริง เหล่านักฆ่าต่างก็เห็นมู่จิ่นตั้งนานแล้ว แต่การที่พวกมันเอ่ยขึ้นมาเช่นนี้ ก็เพื่อต้องการทำให้มู่จิ่นละอายใจ
มู่จิ่นนั้นเป็นบุคคลที่ฉลาดเฉลียวมาตั้งแต่เด็ก ทั้งยังเรียกรู้อะไรได้รวดเร็วกว่าคนอื่นเสมอ นั่นจึงทำให้ผู้อาวุโสของสำนักหมิงเซียนนึกเอ็นดูเขาเป็นพิเศษ
เพราะเหตุนี้มู่จิ่นจึงเป็นศิษย์ชั้นเอกที่น่าภาคภูมิใจมากที่สุดของสำนักหมิงเซียน
เสมือนกับบทเรียนเชิงบวกในยุคปัจจุบันของฮว๋าเซี่ย บุตรหลานของผู้อื่น
เพราะเหตุนี้สถานะของมู่จิ่นในภูเขาหมิงเซียนจึงได้รับการยกย่องขึ้นมา ไม่ว่าจะเพราะด้วยความตั้งใจหรือจุดประสงค์ที่ไม่ดีก็ตาม ทว่า ทุกคนก็รักและเคารพในตัวเขาอยู่ดี
ตราบใดที่มู่จิ่นปรากฎตัวต่อหน้าพวกเขานั้น สายตาของพวกเขาก็จะเพ่งมองไปที่มู่จิ่นด้วยความตั้งใจในทันที
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ มู่จิ่นเสมือนเกิดมาพร้อมกับกลิ่นอายของแสงสว่างอะไรบางอย่าง เขามักจะโดดเด่นท่ามกลางผู้คนมากมายอยู่เสมอ
มู่จิ่นมิจำเป็นต้องพยายามสิ่งใดมากมาย เขาก็มักจะได้ครอบครองในสิ่งที่บางคนมิอาจจับต้องหรือครอบครองได้อยู่เสมอ
เขาเป็นบุคคลที่ได้รับความรักความเอ็นดูจากท่านผู้อาวุโสของสำนักหมิงเซียนมากที่สุด ทั้งยังได้รับการปฏิบัติที่ดีจากพวกเขาอีกด้วย
ทว่า มู่จิ่นกลับเป็นคนแรกที่ทรยศต่อสำนักหมิงเซียน ทั้งยังแปรพักตร์ไปเข้าร่วมกับเซียวเฉวียนเสียอีก
ความแค้นนี้ มิอาจทำให้เหล่าศิษย์ในสำนักหมิงเซียนกลืนลงคอไปได้
ในเมื่อมู่จิ่นได้ทรยศต่อสำนักหมิงเซียนแล้ว ฉะนั้นเหล่านักฆ่าจึงใช้โอกาสนี้ในการดูถูกเหยียดหยามมู่จิ่นแทน
ความหมายอีกอย่างหนึ่งก็คือ พวกเขาได้ลอบติดตามเซียวเฉวียนมานานแล้ว ถึงแม้ว่ามู่จิ่นจักอยู่ในกองกำลังของเซียวเฉวียนก็ตาม พวกเขาหาได้นึกใส่ใจ
หลังจากออกจากสำนักหมิงเซียนมานั้น มู่จิ่นหาได้มีค่าเทียบเท่ากับผู้คนที่สัญจรไปมาในสายตาของนักฆ่าเหล่านี้ไม่
ราวกับไม่มีตัวตนอยู่ในโลกนี้เสียด้วยซ้ำ
“เฮอะ!” นักฆ่าพลันหัวเราะเยาะออกมาด้วยความเย็นชา เขามิสนใจในคำห้ามเตือนของมู่จิ่น ก่อนจะตะโกนร้องออกมาเสียงดังว่า “เซียวเฉวียน! ดูสิว่าข้าถืออะไรอยู่ในมือ!”
พูดจบ ราวกับว่านักฆ่าจะยังรู้สึกไม่พอใจ เขายังกล่าวออกมาด้วยความเย็นชาอีกว่า "เจ้ารีบสั่งให้คนของเจ้าถอยออกไปเสีย มิเช่นนั้นข้าจักโยนเถามันเทศเข้ากองไฟ!"
นักฆ่าพลันเผยสีหน้าได้ใจออกมา
หากสามารถจัดการเซียวเฉวียนเอามาไว้ในกำมือได้ละก็ นับว่าประโยชน์มากกว่าสิ่งใดเสียอีก
ทันทีที่เซียวเฉวียนได้ยินเสียงของนักฆ่านั้น เขารีบหันหน้ากลับไปมองในทันที พร้อมทั้งลางสังหรณ์ที่เกิดขึ้นภายในใจ เวรแล้ว เขากล้าประมาทเสียจนทำให้ไอ้สารเลวผู้นี้ทำสำเร็จเสียได้
“วางเถามันเทศลงเสีย!” เซียวเฉวียนพูดออกมาด้วยความเย็นชา
เสียงของเขาเย็นชามากเสียจนน่าขนลุกยิ่งนัก
ผู้ใดก็ตามที่รู้จักเซียวเฉวียนแล้วละก็ ย่อมต้องรับรู้ได้ว่าภายในใจของเซียวเฉวียนในยามนี้ โมโหมากเสียจนเสมือนมีไฟลุกขึ้นมาในใจมากเพียงใด
เซียวเฉวียนเกลียดผู้คนที่ชอบข่มขู่เขามากที่สุด!
ยิ่งคนผู้นั้นข่มขู่เซียวเฉวียนมากเพียงใด เซียวเฉวียนยิ่งมิคิดปราณีเขามากเท่านั้น
ทว่า ดูเหมือนนักฆ่าผู้นั้นหาได้รู้สึกตัวไม่ ในยามที่เซียวเฉวียนพยายามที่จะประนีประนอมนั้น เขาพลันเด็ดใบเถามันเทศขึ้นมาหนึ่งใบ ก่อนจะโยนมันลงไปในกองไฟด้วยความได้ใจ
เมื่อเห็นเปลวไฟที่กำลังกลืนกินใบของเถามันเทศเข้าไปนั้น นักฆ่าจึงแย้มยิ้มออกมาด้วยความได้ใจในทันที "ฮ่าฮ่า! เซียวเฉวียน มิใช่ว่าเจ้ากับคนของเจ้าเก่งกาจนักหรือ สู้ต่อไปสิ เหตุใดถึงไม่สู้กันต่อเล่า?"
เพื่อป้องกันมิให้เซียวเฉวียนและคนอื่นๆ เห็นเข้า พวกเขาทั้งหกจึงพยายามคุมสีหน้ามิให้ออกอาการอันใดออกมา
ทว่า ไม่ว่าจะพยายามมากเท่าใดนั้น มันกลับยิ่งทรยศต่อความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นภายในใจของพวกเขามากเท่านั้น พร้อมด้วยข้อมือของพวกเขาที่มันกลับสั่นสะท้านขึ้นมามากกว่าเดิมเสียอีก
เพียงแค่เซียวเฉวียนออกแรงสะบัดมือเบา ๆ นั้น เขาพลันโยนร่างของนักฆ่าผู้นั้นลงไปต่อหน้านักฆ่าที่ยืนอยู่ทั้งหกคนในทันที พร้อมมองดูนักฆ่าที่ยืนนิ่งด้วยดวงตาที่เย็นชาคล้ายกับน้ำแข็งพันปี ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า "ดาหน้าเข้ามา จุดจบของพวกเจ้าก็จักเป็นเหมือนกับมัน!”
พูดจบ เซียวเฉวียนพลางมองไปยังนักฆ่าที่นอนกองอยู่บนพื้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเฉยเมย
นักฆ่าที่รู้สึกเจ็บปวดเพราะอาการข้อมือหักเป็นทุนเดิมอยู่แล้วนั้น ในยามนี้เข้ายังมาถูกเซียวเฉวียนเหวี่ยงลงบนพื้นเช่นนี้อีก ไม่ว่าบนพื้นจักมีหิมะหรือปุยนุ่นปูทับหรือไม่ ทว่า ร่างกายของนักฆ่าผู้นั้นไม่อาจขยับได้เลยแม้แต่น้อย เขารู้สึกเสมือนกับว่าทั่วร่างของตนเองถูกก้อนหินก้อนใหญ่โยนทับลงมาก็ไม่ปาน
เกรงว่านักฆ่าผู้นี้ คงจักได้กลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไปตลอดชีวิตแล้วกระมัง
เมื่อเห็นว่าศิษย์ร่วมสำนักของตนเองถูกเซียวเฉวียนทำร้ายจนกลายเป็นเช่นนั้น ไม่เพียงแต่ในใจของนักฆ่าทั้งหกจะรู้สึกขี้ขลาดตาขาวนั้น พวกยังรู้สึกกรุ่นโกรธโมโหมากอีกด้วย
ความโกรธโมโหสามารถทำให้ผู้คนหัวร้อนได้ง่าย
ในยามที่นักฆ่าทั้งหกคนตกอยู่ในความโมโหนั้น พวกเขาจึงชักดาบออกมาก่อนจะวิ่งพุ่งตรงไปหาเซียวเฉวียนในทันที
ท่านนักปราชญ์กล่าวว่า หากพวกเขาสามารถทำภารกิจนี้สำเร็จแล้วไซร้ นักปราชญ์จักทำให้พวกเขาสมหวังปรารถนาข้อหนึ่ง
ในทางกลับกัน หากพวกเขาทำภารกิจล้มเหลวขึ้นมาละก็ เช่นนั้นก็กลับไปหานักปราชญ์พร้อมกับศีรษะของตนเองเสีย จะ
ฉะนั้นแล้วภารกิจในครานี้ เหล่านักฆ่ามีแต่จะต้องทำภารกิจให้สำเร็จเท่านั้น
“ฆ่า!” เสียงตะโกนประกาศกร้าวของมือสังหารทั้งหกคนนั้นพลันดังก้องไปทั่วฟ้าในทันที
เซียวเฉวียนกลับยืนมองดูการโจมตีของเหล่านักฆ่าที่กำลังพุ่งเข้ามาหาด้วยท่าทีสง่าผ่าเผย ในยามที่มองดูคมดาบกำลังจะฟาดฟันเข้ามาหาตนเองนั้น เขาพลันใช้การเคลื่อนไหวที่เร็วไวหลบหลีกมัน จนทำให้ดาบของนักฆ่าทะลุไปในกลางอากาศแทน
ทว่า ในครานี้เซียวเฉวียนกลับคำนวณทุกอย่างผิดไป
เซียวเฉวียนที่สามารถหลบกระบวนท่าทั้งห้าได้พ้นนั้น แต่เขากลับพลาดหลบคมดาบอีกเล่มหนึ่งไป
การจู่โจมของเพลงดาบที่เกิดขึ้นมาอย่างกะทันหันนั้น พลันพลิกกลับมาแทงเข้าที่แขนของเซียวเฉวียนในวินาทีสุดท้าย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...