พูดให้ชัดเจนยิ่งขึ้นคือ เว่ยเชียนชิวไม่ใช่ว่าไม่เชื่อคำพูดของนักปราชญ์ แต่ไม่อยากถูกนักปราชญ์เอามาเป็นตัวประกัน
เว่ยเชียวชิวกับหมิงเจ๋อไม่เหมือนกัน
หมิงเจ๋อยังหนุ่มมีพละกำลัง อ่อนประสบการณ์ ง่ายต่อการที่จะถูกคนยุยงล้างสมองให้ออกไปขจัดอันตรายต่างๆเพื่อประชาชน
แต่เว่ยเชียวชิวไม่ใช่
เว่ยเชียนชิวอายุขนาดนี้แล้ว ไม่ได้พูดเกินจริงไป เขาผ่านประสบการณ์มามากกว่าหมิงเจ๋อมากมายนัก แน่นอนว่าเมื่อเขาคิดจะทำอะไรก็ต้องคิดถึงหลักสำคัญ
พูดไปพูดมา นักปราชญ์ก็เพียงแค่ต้องการใช้ประโยชน์จากเว่ยเชียนชิวเพื่อกำจัดเซียวเฉวียน
ในเมื่อนักปราชญ์ต้องการกำจัดเซียวเฉวียน นักปราชญ์ก็ยังมีเสวียนอวี๋ที่สามารถทำอะไรก็ได้ทุกอย่าง ทำไมเขาถึงไม่ใช้ละ?
กลับต้องมาลำบากพูดแสดงความโน้มน้าวใจให้เว่ยเชียนชิวไปฆ่าเซียวเฉวียน
ทำเหมือนเว่ยเชียวชิวแป็นคนโง่?
ล้อเล่นหรือเปล่า!
เว่ยเชียนชิวมีพลังอย่างมาก วางกลยุทธ์มานับสิบปี จะสามารถมองข้ามไปได้ง่ายๆได้อย่างไร?
“ใต้เท้าเจียนกั๋ว เซียวเฉวียนยังไม่ได้กลับมาที่เมืองหลวงใช่ไหม?” นักปราชญ์หัวเราะและพูดว่า “ข้าได้ส่งเสวียนอวี๋ไปตรวจสอบข่าวคราวของเซียวเฉวียนแล้ว ถ้ามีข่าวคืบหน้าอะไร ข้าจะรีบรายงานต่อใต้เท้าเจียนกั๋ว”
“ท่านดูสิ นี่ยังไม่จริงใจมากพอใช่ไหม?” นักปราชญ์พูดด้วยท่าทางประจบสอพลอ
เหอะ!
เว่ยเชียวชิวถอนหายใจออกมา:“จริงใจ?”
พอพูดถึงความจริงใจ เว่ยเชียนชิวก็รู้สึกโกรธ
ตอนนั้นที่เหมิงเอ้ามาระเบิดจวนของเว่ยเชียนชิว เสวียนอวี๋สามารถฆ่าเหมิงเอ้าได้แต่กลับไม่ฆ่า นี่มันเป็นความจริงใจแบบไหนกัน!
ได้ยินที่เว่ยเชียนชิวพูดตำหนิเสวียนอวี๋อย่างนี้ สีหน้าของนักปราชญ์ก็ดูไม่ค่อยดีนัก
เสวียนอวี๋เป็นคนของนักปราชญ์ เว่ยเชียนชิวพูดตำหนิเสวียนอวี๋ต่อหน้านักปราชญ์ ก็เหมือนเป็นการพูดตำหนินักปราชญ์
และที่เว่ยเชียนชิวพูดมาก็ถูกต้องทั้งหมด เรื่องนี้เสวียนอวี๋ทำได้ไม่ดีจริงๆ
นักปราชญ์ใช้คำพูดที่ดีพูดว่า :“ใต้เท้าเจียนกั๋ว ท่านเป็นถึงใต้เท้าไม่ควรใส่ใจคิดเล็กคิดน้อยกับลูกน้อง อย่าไปสนใจกับแค่เด็กคนหนึ่งอย่างเสวียนอวี๋เลย”
โย่ว!
โย่ว!
นี้เจ้าพูดบ้าอะไร?
ถ้าไม่ใช่เพราะนักปราชญ์คอยให้คำแนะนำส่งเสริมอย่างนี้ เสวียนอวี๋จะกล้าหาญปะทะกับเว่ยเชียนชิว?
ต่อให้เสวียนอวี๋มีความกล้ามากแค่ไหนเขาก็ไม่กล้าทำ
ดังนั้น ความผิดของเสวียนอวี๋ และนักปราชญ์ที่เป็นเจ้านายเขา
ลูกน้องทำผิด ก็เพราะเจ้านายไม่สั่งสอนให้ดี
ดูท่าแล้ว ความจริงใจของนักปราชญ์ก็ไม่ดีเช่นกัน
ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เว่ยเชียนชิวและนักปราชญ์คงไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก เว่ยเชียนชิวพูดอย่างเยือกเย็น :“เจ้ากลับไปเถอะ”
แต่ไหนแต่ไรไม่ว่าเว่ยเชียนชิวจะทำอะไรก็ไม่ต้องให้คนอื่นมาสั่งการได้
ข้าเว่ยเชียนชิวต้องการจะฆ่าใคร หรือไม่ต้องการฆ่าใคร ก็ขึ้นอยู่กับตัวข้าเอง แต่ไม่ใช่เพราะฟังคำพูดของคนอื่นที่สั่งให้ฆ่าก็จะฆ่าได้
กลับกัน สิ่งที่เว่ยเชียนชิวยอมรับไม่ได้มากที่สุดคือคนอื่นมาสั่งเขา วันนี้นักปราชญ์พูดสั่งเป็นนัยๆให้เว่ยเชียนชิวไปฆ่าเซียวเฉวียน เว่ยเชียนชิวก็ไม่ทำตามคำสั่งจริงๆ!
ในเมื่อตอนนี้เว่ยเฉวียนชิวก็ไม่สามารถทำอะไรเซียวเฉวียนได้ เขาก็ไม่รีบร้อน
ถ้านักปราชญ์รีบมาก นักปราชญ์ก็ต้องไปคิดหาวิธีเอาเอง
โอ้เหอะ!
ครั้งนี้นักปราชญ์ออกกลอุบายเพื่อให้ได้ผลที่ต้องการ แต่ผลที่ได้กลับผิดพลาด
เขาไม่เพียงแต่ไม่สามารถพูดให้เว่ยเชียนชิวฆ่าเซียวเฉวียนได้ แต่กลับทำให้เว่ยเชียนชิวละทิ้งการสร้างความวุ่นวายให้เซียวเฉวียนไปชั่วคราว
นักปราชญ์รู้สึกเสียใจ ร้องไห้ไม่ออกจริงๆ
ก่อนที่จะมาที่ต้าเว่ย นักปราชญ์ได้พบเจอคนๆหนึ่งมีลักษณะนิสัยที่แปลกประหลาดอย่างมาก?
เว่ยเชียนชิว ชิงหลง คนเหล่านี้ของจวนเซียวก็ด้วย
ถึงแม้ว่าเว่ยเชียนชิวจะแสดงออกว่าปฏิเสธนักปราชญ์อย่างชัดเจนแล้ว นักปราชญ์ก็ยังไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมปล่อยที่พึ่งอย่างเว่ยเชียนชิวไปง่ายๆ
นักปราชญ์บ่นพึมพัมเล็กน้อย และก็เรื่องพูดขึ้นว่า:“ขอให้ใต้เท้าเจียนกั๋วลองคิดทบทวนดูอีกครั้ง”
“ไม่ต้องคิดทบทวนอะไรอีกแล้ว เจ้ารีบออกไปได้แล้ว!” เว่ยเชียนชิวมีสีหน้าโกรธอย่างชัดเจน
เห็นคนแก่คนนี้แล้วมันน่ารำคาญ ถ้าไม่ใช่เพราะเขา จวนเจียนกั๋วก็คงไม่ถูกเผาจนไม่เหลืออะไรแล้วอย่างนี้
ถ้าไม่ใช่เพราะนักปราชญ์ เว่ยเชียนชิวก็คงไม่ต้องมาอาศัยคนอื่นอยู่อย่างนี้
สำหรับคนที่รักหน้าตาเกียรติยศอย่างเว่ยเชียนชิวแล้ว มันเป็นความอัปยศอดสูน่าอับอายอย่างยิ่ง
จางเคอไม่มีทางเลือกต้องกัดฟันพูดต่อไป:“ข้าน้อยคารวะใต้เท้าเจียนกั๋ว”
“เจ้าเข้ามานี่!” เว่ยเชียนชิวพูดอย่างน่ากลัว
เมื่อครู่ท่าทางของจางเคอกับนักปราชญ์เว่ยเชียนชิวเห็นทั้งหมดแล้ว
จางเคอเป็นคนของเว่ยเชียนชิว นักปราชญ์มีสิทธิ์อะไรถึงมาสั่งได้?
ห่า?
ในเมื่อทั้งสองคนทะเลาะกัน เว่ยเชียนชิวก็ไม่ยอมให้คนของเขาถูกนักปราชญ์ใช้งานได้
ไม่เพียงเท่านั้น เว่ยเชียนชิวยังจะให้จางเคอไล่นักปราชญ์ออกไปด้วย ไม่ยอมให้เขาและเสวียนอวี๋อยู่ที่จวนจาง
เหอะ!
ดูสิว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ!
กล้ามาทำท่าทางไม่พอใจใส่เว่ยเชียนชิว นักปราชญ์ไม่ดูซะบ้างว่านี่มันเป็นที่ของใคร!
.........
.........
รัฐไป๋ลู่
พระอาทิตย์ที่ร้อนแรงลอยสูงอยู่บนท้องฟ้า
สายลมที่อับอุ่นพัดผ่านมา พัดใบไม้ดอกไม้ที่อยู่ด้านนอกมีเสียงดังกรอบแกรบ
กลุ่มคนทำงานจ้องมองดูแสงสว่างอันเจิดจ้าของพระอาทิตย์ ในที่สุดก็กลับมาแล้ว
พวกเขาเข้าไปในห้อง ก็ได้กลิ่นหอมของอาหารโชยมา พวกเขาทนไม่ได้กลืนน้ำลาย
หอมมาก!
พวกเขาเพิ่งเคยได้กลิ่นอาหารที่หอมอย่างนี้เป็นครั้งแรก เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นอาหารมีสีสันสวยงามมาก
มองเห็นสีสันได้กลิ่นหอมของอาหาร ความเหนื่อยของกลุ่มคนทำงานเหล่านั้นก็หายไปจนหมดสิ้นในทันที
พวกเขานั่งลงที่เก้าอี้ เริ่มลงมือกินอย่างหิวโหย
ในขณะที่กำลังกินอาอาหารเต็มปาก พวกเขาก็ยังกินไปด้วยพูดไปด้วย:“อร่อย อร่อย”
มีคนหนึ่งพูด ชีวิตที่เรียบง่าย สามารถปลอบประโลมจิตใจได้ดีที่สุด จริงแท้แน่นอน
เห็นทุกคนกินกันอย่างเอร็ดอร่อย เซียวเฉวียนก็ยิ้มอออกมา กินอาหารมื้อนี้เสร็จแล้ว ก็ต้องไปทำงานกันต่อแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...