จะว่าบังเอิญก็บังเอิญ
วันนี้เซียวเฉวียนต้องไปเยี่ยมเยือนหอปี๋เซิ่ง บังเอิญเจอสายลับกำลังยืนซื่อไก่ขอทานและเนื้อตุ๋นน้ำแดงพอดี
เดิมทีไม่ได้อะไร เซียวเฉวียนคิดว่าเขาคงซื้ออาหารธรรมดา ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจ
ถึงอย่างไรเมืองหลวงที่กว้างใหญ่นี้ คนที่ชอบกินอาหารในหอปี๋เซิ่งก็มีไม่น้อย หลายคนในนั้นก็คงจะมีผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ไม่น้อย
ดังนั้นเซียวเฉวียนคิดว่าสายสืบคนนี้น่าจะเป็นลูกน้องของจวนไหนสักจวน
ตอนนี้เว่ยอวี๋ยังอยู่ข้างกายของเซียวเฉวียน เขาเห็นเซียวเฉวียนกำลังมองสายลับคนนั้น คิดว่าเซียวเฉวียนคงสนใจตัวสายลับคนนั้น จึงได้จ้องเขม็งไปยังสายลับไม่กะพริบตา
เว่ยอวี๋เอ่ยว่า “เขารู้สึกว่าเขาน่าสงสัยใช่หรือไม่?”
“จะพูดอย่างไรดี?” เซียวเฉวียนกันมาเอ่ยเสียงเรียบ
ที่แท้คนคนนี้ก็มักจะมาหอปี๋เซิ่งอยู่เสมอ แถมยังมาถึงสองครั้งในหนึ่งวัน ซึ่งจะเป็นเวลาอาหารเที่ยงและมื้อค่ำ เขาจะมาที่นี่เสมอ
อีกอย่างสิ่งที่เขาซื้อคือไก่ขอทานและเนื้อตุ๋นน้ำแดง
เดิมทีมันก็ไม่มีอะไรพิเศษ
แต่แปลกใจตรงที่เขาไม่เคยกินในหอปี๋เซิ่ง มักจะห่อกลับบ้านทุกครั้ง
โดยปกติแล้ว จะกินที่ร้านหรือห่อกลับบ้านไม่ใช่เรื่องแปลก
ทว่าแม่ว่าคนที่ห่อกลับบ้านจะมีบ้าง แต่ก็บางครั้งเท่านั้น ไม่ได้ทำทุกครั้งเหมือนกับสายลับ
มันจะต้องมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลแน่นอน
“เขาเริ่มห่ออาหารของหอปี๋เซิ่งกลับบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่?” เซียวเฉวียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย
พอได้ยิน เว่ยอวี๋ก็นึกย้อนกลับไป “ข้าจำได้ว่าเริ่มตั้งแต่ที่เจ้าบอกว่าเว่ยเชียนชิวหายตัวไป”
พอได้ยินเว่ยอวี๋กล่าวเช่นนี้ เซียวเฉวียนก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่น และอดมองสายลับคนนั้นต่อไม่ได้
ทว่าสายลับกลับเอาแต่ก้มหน้า เหมือนพยายามปกปิดตัวเอง ไม่ให้ใครจำเขาได้ เซียวเฉวียนอยากได้ยินความคิดของเขา แต่กลับไม่พบข้อมูลที่มีประโยชน์เลยสักนิด
สายลับคนนี้เงียบราวกับน้ำที่นิ่งสงบ
คนทั่วไปไม่มีทางเข้าถึงสภาวะเช่นนี้
แต่ช่วงเวลาที่สายลับปรากฏตัว มันช่างบังเอิญยิ่งนัก
ไม่ว่าอย่างไร เซียวเฉวียนกต้องสืบหาความจริงให้ได้
ด้วยเหตุนี้ เซียวเฉวียนจึงพยายามติดตามสายลับอยู่เงียบ ๆ กระทั่งตามเขาเข้ามาถึงประตูวัง
จึงได้เห็นภาพที่จางจิ่นกินไก่อย่างเอร็ดอร่อย
คาดถึงว่าจางจิ่นจะตะกละเช่นนี้
พอเห็นจางจิ่นชมไก่ขอทานไม่หยุดปาก ดูท่าเซียวเฉวียนต้องให้จางจิ่นมาเป็นลูกค้าที่ใช้พัฒนาหอปี๋เซิ่งแล้ว
มีนักประจบสอพลอผู้รักในการกินและมีเงินอย่างจางจิ่นอยู่กับตัว กิจการของหอปี๋เซิ่งจะต้องก้าวกระโดดไปอีกชั้นแน่นอน
โอกาสทางธุรกิจมีอยู่ทุกที่จริง ๆ
พอตัดสินใจเช่นนี้ เซียวเฉวียนได้แต่รอเวลา รอให้สายลับจากไป ค่อยหาเรื่องของกินไปพูดคุยกับจางจิ่น
แต่ในตอนที่เซียวเฉวียนเห็นสายลับกัดขาไก่พร้อมกับมองสลับไปที่จางจิ่นนั้น เซียวเฉวียนอดยิ้มออกมาไม่ได้
แน่นอนว่าสายลับคนนี้ต้องเห็นขาไก่ชิ้นนี้เป็นจางจิ่น
จางจิ่นก็นะ ตัวเองอยากกิน ถามสายลับว่าซื้อตรงไหน ตัวเองค่อยไปซื้อ เช่นนั้นไม่มีความสุขกว่าหรือ?
แย่งคนอื่นกินทำไม
เจ้าตัวไม่ได้มีความสุข เขากำลังปวดใจ
แต่เรื่องที่เซียวเฉวียนคาดไม่ถึงคือ จางจิ่นไม่เพียงแต่กินไก่ขอทานของสายสืบแล้ว ก็ยังแย่งเนื้อตุ๋น้ำแดงของเจ้าตัวมากินอีกด้วย
แม้ว่าไก่ขอทานและเนื้อตุ๋นน้ำแดง แต่จางจิ่นยังกินไม่หมด คงดูไม่เหมาะ
ระหว่างที่จางจิ่นกิน กินจนสายลับแทบสุด โศกเศร้ายิ่งนัก
สายลับมองไก่ขอทานที่เหลือแค่ตัวไก่ แล้วมองเนื้อตุ๋นน้ำแดงอีกครึ่งในชามด้วยสายตาขุ่นเคืองไม่น้อย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...
ไหนบอกรักลูกน้องหนักหนา เด็กมันอยากจะเข้าไปเป็นสนมก็จะปล่อยให้เข้าไปงั้นเหรอ ตัวเอกเรื่องนี้มันยังไง พิมพ์ด่านะ แต่ก็อ่าน 55555...