อ่านสรุป บทที่ 1208 กักขังนักปราชญ์ จาก ซูเปอร์ลูกเขย โดย ชิงเฉิง
บทที่ บทที่ 1208 กักขังนักปราชญ์ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายนิยายจีนโบราณ ซูเปอร์ลูกเขย ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย ชิงเฉิง อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
ลงมือกับพวกเล่นวิชาแมวสามขาอย่างจางเคอ สำหรับยอดฝีมืออย่างเซียวเฉวียน เป็นเรื่องจิ๊บๆ
จางเคอโดนฝ่ามือของเซียวเฉวียนฟาดเข้าไปทีหนึงอย่างไม่ทันระวังตัว เจ็บจนร้อง "อั้ก !" ดาบสั้นในมือก็หยิบจับไม่อยู่ร่วงลงกับพื้นดัง "เคร้ง"
เซียวเฉวียนแก้ไขวิกฤตไปได้อย่างสบายๆ เขาหันกลับมามองจางเคออย่างเย็นชา ไม่พูดอะไรสักคำ
มาคุยอะไรกับจางเคอตอนนี้ เปลืองกำลังปอดมาก
ยิ่งไปกว่านั้น จางเคออาจได้ยินไม่ชัดเจน
พระอาทิตย์บนท้องฟ้าสดใส แดดเผาแรงมาก
ตั้งแต่เล็กจนโต เซียวเฉวียนไม่ชอบถูกแสงแดดที่แผดจ้า
ฉะนั้น ไม่พูดพร่ำทำเพลง เซียวเฉวียนส่งสัญญาณสายตาไปยังชิงหลง ให้ชิงหลงพาจางเคอกลับไปพร้อมกับเขา
เมื่อได้รับคำสั่งจากเซียวเฉวียน ชิงหลงก็พยักหน้า โบกมือเบา ๆ สร้างม่านกำบังมาคลุมจางเคอไว้
จากนั้น ชิงหลงก็หิ้วทั้งสองกลับไปเมืองหลวงพร้อมกับเซียวเฉวียน
แต่ว่า ทั้งสองไม่ได้กลับไปที่จวนเซียว แต่ไปหาสถานที่ห่างไกลที่อื่น เอาสองคนวางไว้
พูดให้แม่นเหมาะก็คือ กักขังนักปราชญ์ไว้นั่นแหละ
ส่วนจางเคอ เซียวเฉวียนกะจะปล่อยเสือเข้าป่า
เพื่อหลอกล่อจางเคอและป้องกันไม่ให้เขารู้ว่าเซียวเฉวียนตั้งใจให้เขาหลบหนี เซียวเฉวียนขอให้ชิงหลงถอนม่านกำบังของจางเคอออก และเปลี่ยนใช้หวายมาผูกจางเคอไว้
หวาย ขอให้มันถูกับสิ่งแข็งๆ และมีความเพียร มันก็จะขาดจากกันไม่ช้าก็เร็ว
เมื่อหวายขาด จางเคอก็มีโอกาสหลบหนี
ก่อนที่ทั้งสองจากไป พวกเขายังเอาผ้ายัดปิดปากของจางเคอไว้
ระหว่างทาง จางเคอเอาแต่ร้องว่า "ปล่อยข้าไป !" ทั้งดุด่าเซียวเฉวียนตลอด
แถมเสียงหนวกหูมาก จนขี้หูของเซียวเฉวียนและชิงหลงสะเทือนร่วงออกหมด ทรมานหูจริงๆ
สำหรับนักปราชญ์นั้น ชิงหลงได้หิ้วนักปราชญ์ออกไปต่อหน้าจางเคอ และขังเขาไว้ยังที่อีกด้านหนึ่งอย่างเงียบ ๆ ชิงหลงได้เพิ่มม่านกำบังอีกชั้นหนึ่งให้กับนักปราชญ์ไว้ด้านนอกเพื่อป้องกันไม่ให้เสียงของนักปราชญ์เล็ดลอดออกมาและป้องกันไม่ให้ใครเข้าใกล้นักปราชญ์
ดังนั้น จางเคอจะไม่พบเห็นง่ายๆ ว่านักปราชญ์ก็อยู่ที่นี่ด้วย
ถึงแม้จะพบเห็น ทั้งสองก็ไม่อาจสมรู้ร่วมคิดอะไรได้
......
......
ที่จวนเซียว
"สาม !"
"สอง !"
"หนึ่ง !"
เสียงตกปั๊บ เซียนชิวน้อยก็ฟาดแส้ยาวอย่างแรง ถูกแอปเปิ้ลใบนั้นอย่างเจ๋งเป้งจนเละไปหมด
หุ ๆ ๆ
เสวียนอวี๋มองการกระทำที่ยั่วยุของเซียนชิวน้อย ความอิจฉาและไม่ยอมแพ้ปรากฏขึ้นในดวงตา
พลาดนิดเดียว หอกของเสวียนอวี๋ยังคงด้อยกว่าแส้ของเซียนชิวน้อยนิดหนึ่ง
ทั้งๆ ที่เซียนชิวน้อยช้าไปกว่านับสามครั้ง เธอก็ยังชนะได้
เธอทำได้ยังไงเนี่ย ?
ต่อหน้าสายตาทุกคน เสวียนอวี๋ได้ตกลงยอมรับกติกาการประลอง เสวียนอวี๋ก็ยังแพ้อีก หากเขายังคิดจะบ่ายเบี่ยง ก็จะแสดงว่าเขาเป็นคนแพ้ไม่เป็น ขี้แพ้ชวนตี
โดยเฉพาะเซียนชิวน้อย ถึงกับยอมยกให้นับสามครั้งกับเสวียนอวี๋
เสวียนอวี๋ก็ไม่สามารถหาข้อแก้ตัวใดๆ ได้
ครั้งนี้ เสวียนอวี๋ยังแพ้น่าเกลียดยิ่งกว่าครั้งที่แล้วอีก
หุ ๆ ๆ
เสวียนอวี๋มองดูเซียนชิวน้อยด้วยความคับแค้นใจอย่างมากและพูดอย่างน้อยอกน้อยใจ "พี่ชิว ขอโทษ ฝีมือข้าสู้พี่ไม่ได้"
การเรียกว่าพี่ชิวคำนี้ทำให้เซียนชิวน้อยจิตใจเบิกบานสะพรั่ง เธอรู้สึกมีความสุขในใจ แต่ใบหน้าของเธอก็สงบนิ่ง "งั้นเจ้ายอมแพ้หรือ ?"
ดีที่เสวียนอวี๋จำได้ ตอนนี้นำมาใช้การได้พอดี
เมื่อเห็นเด็กสองคนทำท่าเหมือนเห็นท้องฟ้าจะถล่ม เซียวเฉวียนก็ถอนหายใจ โอ้ จะเป็นเรื่องใหญ่อะไร ไม่ใช่เรื่องฆ่าคนตาย วางเพลิงเผาบ้านขู่กรรโชกใคร มันแค่ทำบ้านพังเล็กน้อย เซียวเฉวียนมีเงินมากมาย เรียกหาคนมาซ่อมแซมก็เท่านั้น เรื่องเล็ก
ที่สำคัญที่สุดคือ เมื่อได้ยินเสวียนอวี๋เรียกเซียนชิวว่าพี่ชิว เซียวเฉวียนก็จิตใจเบิกบานเช่นกัน
นี่แสดงว่า การวิวาทกันระหว่างเด็กสองคนส่งผลให้เกิดมิตรภาพหรือ ?
สุดยอด !
ดังสุภาษิตโบราณกล่าวว่า ไม่ตีกันจะไม่รู้จักกัน นี่คงประมาณหมายถึงเสวียนอวี๋ละเซียนชิวน้อย
เห็นเด็กสองคนดูน่าสงสาร เซียวเฉวียนก็ยิ้ม ๆ และพูดว่า "ไม่เป็นไร เดี๋ยวซ่อมก็หาย"
เซียวเฉวียนไม่ได้ตำหนิสักนิด เด็กทั้งสองก็เงยหน้าขึ้น มองหน้าซึ่งกันและกัน ยิ้มแล้วพูดว่า "ขอบคุณนะพ่อ"
"ขอบคุณเจ้านาย"
คำเรียกเจ้านายของเสวียนอวี๋นี้ทำให้เซียวเฉวียนสับสน เขาผงะไป นี่เสวียนอวี๋คิดที่จะหันหลังให้อธรรมเข้าหาธรรมะแล้วหรือ ?
"เสวียนอวี๋ เจ้าหมายความว่าอะไร ?" เสวียนอวี๋เป็นเด็กที่มีอารมณ์และความคิด จู่ๆ มายอมรับเซียวเฉวียนเป็นเจ้านาย เซียวเฉวียนยังคงไม่เชื่อเล็กน้อย
”ตั้งแต่นี้ไป ท่านก็คือเจ้านายของข้า” เสวียนอวี๋กล่าวอย่างเลื่อมใสทั้งกายและใจ
ประการแรก เสวียนอวี๋แพ้ให้เซียนชิวน้อย ต้องรักษาสัญญา
ประการที่สอง สำหรับพฤติกรรมของนักปราชญ์ ช่วงนี้เสวียนอวี๋ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าสภาพจิตของนักปราชญ์นั้นน่ากลัว เขาไม่ใช่อาจารย์ที่เที่ยงธรรมและงดงามในหัวใจของเสวียนอวี๋อีกต่อไป เขาไม่ต่างอะไรจากเว่ยเชียนชิว
ประการที่สาม เมื่อเสวียนอวี๋ก่อเรื่องในจวนเซียว เซียวเฉวียนไม่ได้ตำหนิเขาหรือว่ากล่าวอะไรรุนแรง นี่ก็เพียงพอจะแสดงให้เห็นว่า เซียวเฉวียนเป็นคนดี เซียวเฉวียนสมควรให้เสวียนอวี๋ติดตาม นี่คือโน้มน้าวผู้คนด้วยคุณธรรม
เมื่อเซียวเฉวียนได้ยินเช่นนี้ ก็เกิดความสุขในใจ เขายิ้มเบา ๆ และพูดว่า "เอาล่ะ! จากนี้ไปเจ้าก็เป็นสมาชิกของจวนเซียว"
ไม่คิดว่า เซียนชิวน้อย แก้วตาดวงใจจะมาประสานในเรื่องนี้ให้กับเซียนเฉวียน
เป็นที่น่ายินดีด้วย
ในเมื่อเป็นอย่างนี้ นักปราชญ์ก็ถูกกักขังอยู่แล้ว เซียวเฉวียนรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องมีม่านกำบังมาคอยปกป้องจวนเซียวแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...