เจี้ยนจงและมู่จิ่นพร้อมกันหันไปมองเว่ยเป้ยด้วยสีหน้ามีความหมายลึกซึ้ง
“เจ้าเป็นเด็กน้อยไปทำอะไร” เจี้ยนจงยิ้มอย่างอ่อนโยน ดวงตายังวนเวียนอยู่รอบตัวเว่ยเป้ย
ตามปกติแล้ว หากเด็กที่เลี้ยงดูมาอย่างดีในจวนเจียนกั๋วแสดงออกถึงความสามารถที่ไม่ธรรมดาในยุคนี้ จะก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์และจินตนาการ
คนสามคนพูดว่าเห็นเสือ ก็กลายเป็นเสือจริงๆ คนหมู่มากพูดว่าทองคำเป็นเหล็ก ก็กลายเป็นเหล็กจริงๆ
ตอนนั้นไม่รู้ว่าจะแพร่ข่าวอะไรออกมาอีก
ตัวอย่างเช่น เว่ยเป้ยเป็นบุคคลพิเศษ เป็นต้น เมื่อถึงเวลานั้น จะเกิดอะไรขึ้น?จะต้องถูกมองว่าเป็นสิ่งแปลกประหลาดเหมือนเซียวเฉวียนหรือไม่?
ดังนั้น แม้ว่าเว่ยเป้ยจะมีความสามารถมากแค่ไหน หรือรู้มากแค่ไหน ก็ต้องทำในสิ่งที่เด็กในวัยนี้ควรทำต่อหน้าคนอื่น เช่น ตั้งใจอ่านตำราปรัชญา
สิ่งนี้จะช่วยให้ปกป้องเว่ยเป้ยได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีเจี้ยนจงและมู่จิ่นอยู่ในห้องสมุดชิงหยวนดังนั้นจึงไม่มีปัญหา
ทำไมเว่ยเป้ยต้องเสี่ยงภัย?
ถึงแม้จะพูดแบบนี้ เหตุผลก็ถูกต้อง เว่ยเป้ยก็รู้ว่า เจี้ยนจงพูดแบบนี้เพื่อเขา แต่เขาอยากจะช่วยจวนเซียวและไม่ต้องการเป็นปรสิตที่ไร้ประโยชน์ในจวนเซียว
ดังนั้น เขาจึงฝากความหวังไว้กับเซียวเฉวียน มองดูเซียวเฉวียนอย่างเศร้าสร้อยและพูดว่า “เซียวเฉวียน ข้าอยากไปจริง ๆ”
“ข้าคิดว่าเจี้ยนจงพูดถูก ท่านควรอยู่ที่จวนเซียว อ่านหนังสือหรือทำอย่างอื่นก็ได้” เซียวเฉวียนยืนอยู่ข้างเจี้ยนจงโดยไม่ปรานีปราศจากความหวังที่จะดับความหวังสุดท้ายของเว่ยเป้ย
“เอ้ ๆ ๆ”
เว่ยเป้ยไม่เต็มใจที่จะพูดว่า “ก็ได้”
ในโลกอันกว้างใหญ่ไพศาล โชคดีที่เขาเกิดมาใหม่ในร่างเด็ก
แค่นี้ก็พอแล้ว
หากเป็นเด็กธรรมดาที่ไม่เป็นที่สนใจ เว่ยเป้ยยังสามารถโกหกได้ว่าได้รับการชี้แนะจากนักปราชญ์และหลอกลวงคนภายนอกได้
น่าเสียดายที่เขาเกิดใหม่มาเป็นองค์ชายแห่งจวนเจียนกั๋วที่มีสถานะสูงส่ง
“อึ๋ย!”
เว่ยเป้ยถอนหายใจเบา ๆ
จากนั้นเขาก็จากไปอย่างขมขื่นจากสายตาของผู้ใหญ่เหล่านี้
เขาเป็นเด็ก ไม่คู่ควรที่จะคบหากับผู้ใหญ่ เขาควรไปหาเสวียนอวี๋เล่น
เว่ยเป้ยและเสวียนอวี๋อายุใกล้เคียงกัน เสวียนอวี๋ที่ไม่มีเพื่อนเล่นตั้งแต่เด็ก ก็ใฝ่ฝันที่จะเป็นเพื่อน
ดังนั้น หลังจากย้ายไปอยู่ที่ตระกูลเซียวแล้วเสวียนอวี๋มักจะมาหาเว่ยเป้ยเพื่อเล่น
ตอนแรก เว่ยเป้ยไม่ชอบเลย วิญญาณผู้ใหญ่คนหนึ่งเล่นกับเด็กแบบนี้เป็นเรื่องไร้เดียงสาเกินไป
ดังนั้น เว่ยเป้ยจึงมักจะเมินเฉยต่อเสวียนอวี๋
แต่เสวียนอวี๋ไม่ได้ยอมแพ้ ยืนกรานปรากฏต่อหน้าเว่ยเป้ยทุกวันเพื่อสร้างความตระหนักในตนเอง
เพราะนักปราชญ์เคยบอกเสวียนอวี๋ว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีความเพียรและความอดทน อย่ายอมแพ้ง่าย ๆ
ค่อย ๆ เว่ยเป้ยมีท่าทีต่อเสวียนอวี๋ดีขึ้น และพวกเขาก็สามารถคุยกันสองสามประโยคเป็นครั้งคราว
มาถึงตอนนี้ พวกเขาได้กลายเป็นเพื่อนกัน
ความสัมพันธ์พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เพราะเว่ยเป้ยเห็นกังฟู ของเสวียนอวี๋เก่งกาจมาก จึงขอร้องให้เสวียนอวี๋สอนเขาอย่างลับๆ
เดิมทีเว่ยเป้ยก็แค่พูดลอย ๆ ไม่ได้คาดหวังอะไร เขารู้ว่าวิทยายุทธ เป็นเคล็ดวิชาลับของสำนักต่างๆ ไม่สามารถเปิดเผยต่อบุคคลภายนอกได้อย่างง่ายดาย
ปรากฏว่า เสวียนอวี๋ตอบตกลงอย่างไม่ต้องลังเล และเริ่มสอนศิลปะการต่อสู้ให้กับ เว่ยเป้ยจริง ๆ
เรื่องนี้ทำให้ เว่ยเป้ยดีใจมาก
นั่นหมายความว่า ตอนนี้เว่ยเป้ย ไม่ได้เป็นคนมือเปล่าอีกต่อไป เขามีศิลปะการต่อสู้ติดตัว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...
ไหนบอกรักลูกน้องหนักหนา เด็กมันอยากจะเข้าไปเป็นสนมก็จะปล่อยให้เข้าไปงั้นเหรอ ตัวเอกเรื่องนี้มันยังไง พิมพ์ด่านะ แต่ก็อ่าน 55555...