กบาลของหมิงเจ๋อนี้ หันกลับคืนมาไม่ได้ซะที เห็นได้ชัดว่าเขาเชื่อฟังคำพูดของนักปราชญ์ ทำผิดแล้ว ทำผิดอีกซ้ำซาก แล้วทั้งหมดก็โยนให้กับเซียวเฉวียน
บรมโง่ยังไม่โง่เท่าหมิงเจ๋อ
บางที นี่อาจเป็นการลิขิตของสวรรค์แล้วก็ได้
ด้วยนิสัยเชื่อคนง่ายอย่างหมิงเจ๋อ จิตเสื่อมตั้งแต่เนิ่นๆ ดีกว่ามาเสื่อมภายหลังที่เขาขึ้นครองบัลลังก์แล้ว
อย่างน้อยก็ไม่นำภัยมาสู่บ้านเมืองและประชาชน
หลังจากมาอยู่ด้วยกัน นักปราชญ์รู้สึกสงสารหมิงเจ๋อ จึงตัดสินใจสอนวิชาต่อสู้ให้เขา เพื่อพัฒนาความสามารถในการเอาชีวิตรอดของเขา
หนึ่งในนั้นก็คือเสริมศิลปะในการปกปิดเสียงในใจของหมิงเจ๋อให้แข็งแกร่งขึ้น
บางที หมิงเจ๋ออาจใช้เป็นประโยชน์ในการสู้รบกับเซียวเฉวียนในวันข้างหน้า
เพื่อแก้แค้น หมิงเจ๋อตัวพิการแต่จิตใจนักสู้ ฝึกฝนเต็มเวลาทุกวัน ไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหน เขาก็กัดฟันอดทนจนกว่าการบ้านในแต่ละวันจะเสร็จสิ้น
ในเวลาเพียงไม่กี่วัน นักปราชญ์ก็สามารถเห็นได้ชัดว่า หมิงเจ๋อโดยรวมมีกำลังแกร่งขึ้นมาก เนื่องจากพลังแรงของร่างกายของเขาเติบใหญ่มากขึ้น
ผลที่ได้นั้นน่าทึ่งมาก นักปราชญ์ก็รู้สึกยินดี
ในเวลานี้ จางเคอที่ติดตามศิษย์ของสำนักหมิงเซียนก็มาถึงภูเขาหมิงเซียน
เพื่อหลบเลี่ยงหูตาผู้คน จางเคอได้แต่งกายปลอมแปลงตัวเอง
เขาปลอมตัวเป็นคนหลังค่อม
แม้ว่าศิษย์ที่กลับมาก่อนได้บอกกับนักปราชญ์แล้วว่าจางเคอจะมาที่ภูมิภาคตะวันตกและกำลังอยู่ระหว่างทาง
แต่พอนักปราชญ์ได้พบจางเคอ เขาจ้องมองชายหลังค่อมตรงหน้าเป็นเวลานาน ยังไงก็จำเขาไม่ได้
จนกระทั่งจางเคอยืนตัวตรงและดึงเคราที่ปะไว้ออก นักปราชญ์ถึงจำเขาได้ เขาพูดอย่างสุภาพ "ใต้เท้าจาง ท่านคงเดินทางมาเหนื่อยแย่แล้ว"
มันเหนื่อยมากจริงๆ
ตลอดทางที่มา เพื่อไม่ให้คนพบเห็น จางเคอและศิษย์สำนักหมิงเซียนเร่งเฆี่ยนเดินทางอย่างเต็มที่ ทั้งกลางวันกลางคืน ท่ามกลางสายลมแสงแดด และฝุ่นดิน
จางเคอไม่เพียงแต่ผิวคล้ำลง ยังผอมลงไปไม่น้อย
จางเคอตอนพบกับนักปราชญ์ที่ต้าเว่ย กับตอนนี้มีความเปลี่ยนแปลงไม่ได้มากอย่างธรรมดา
อย่างน้อย ความสง่างามของผู้เป็นบัณฑิตในตัวเขาก็จางหายไปไม่น้อย มีอุ่นไอของนักพเนจรในยุทธจักรให้เห็นหน่อยๆ
แต่จางเคอพูดกลับอย่างนอบน้อม "ไม่เหนื่อยๆ ได้พบหน้าท่านนักปราชญ์ จางดีใจเป็นอย่างยิ่ง"
จางเคอเดินทางมาเป็นพันลี้ เสริมกับคำพูดในครั้งนี้ นักปราชญ์ก็ไม่คิดจะถือสาจางเคออีกสำหรับความขัดแย้งเล็กน้อยในต้าเว่ย
เขาเต็มใจลี้ภัยมาพึ่งพานักปราชญ์ สำหรับนักปราชญ์ ก็ช่วยแรงนักปราชญ์ได้มากอยู่เช่นกัน
นักปราชญ์ก็มีทัศนคติอยู่ เมื่อเผชิญหน้ากับเซียวเฉวียนศัตรูตัวฉกาจ เขายินดีที่จะละทิ้งความขุ่นเคืองส่วนตัวหันหน้าสู้ศึกอย่างเป็นเอกฉันท์
“เจ้าพาใต้เท้าจางไปพักผ่อนก่อน” นักปราชญ์สั่งชายที่กลับมาพร้อมกับจางเคอ หันไปมองจางเคอแล้วพูดว่า “ใต้เท้าจางไปพักผ่อนก่อน หลังจากท่านพักผ่อนแล้ว เราค่อยมาหารือกัน"
ทีแรกจางเคอคิดว่านักปราชญ์จะเอาเรื่องเกิดขึ้นที่ประตูเมืองมาแขวะจางเคอสักหน่อย แต่ไม่คิดว่า นักปราชญ์ไม่พูดอะไรสักคำแถมยังมีน้ำใจมาก จางเคออดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าตัวเองกำลังเอาใจคนต่ำต้อยไปประเมินใจของสุภาพชน จึงรู้สึกซาบซึ้นใจ "ขอบคุณท่านนักปราชญ์”
กล่าวขอบคุณเสร็จ จางเคอก็เดินตามชายคนนั้นลงไปพักผ่อน
พอหันกลับไป จางเคอก็เห็นหมิงเจ๋อที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาสะดุ้งตกใจ โอ้เทพเจ้า นั่นคนหรือผีกันแน่ ?
ตากลวง ขาง่อย และแขนด้วน
หากมองใกล้ๆ จะเห็นได้ไม่ยากว่าใบหน้านั้นเคยหล่อเหลาขนาดไหน เมื่อมองเขาสวมเสื้อผ้าหรูหรา และสวมจี้หยกสภาพเยี่ยมยอดข้างเอว บอกได้เลยว่าคนนี้ต้องมีภูมิหลังที่ดี
แต่ทำไมกลายมาเป็นเช่นนี้ ?
จางเคอรู้สึกสงสัย แต่เขาเพิ่งมาถึงใหม่ๆ ไม่กล้าพูดอะไรมาก ดังนั้นเขาจึงเหลือกตา สงบจิตและดึงสายตากลับคืน
ในเมื่อนักปราชญ์ก็ไม่ได้แนะนำจางเคอว่าบุคคลนี้เป็นใคร จางเคอจึงทำเป็นมองไม่เห็นและเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนเข้ามาครั้งแรก จางเคอไม่ได้สังเกตเห็นการปรากฏตัวของเขา ไม่ทักทายก็ไม่ถือว่าเสียมารยาท
อะไรที่ควรรู้ แน่นอนย่อมมีคนมาบอกให้เขาฟัง อะไรที่คนอื่นไม่บอก เขาก็จะไม่ถาม
"เข้าไปเลย" คนที่เดินมาด้วยกันเห็นจางเคอมองดูห้องด้วยความงุนงง จึงพูดสะกิด
จางเคอจึงรู้สึกตัวและตอบอย่างรวดเร็ว "ขอรับ"
เขาก็ก้าวไปข้างหน้าผลักประตูเข้าไป
ที่บ้านเซียวห่างออกไปเป็นพันลี้ เซียวจิ่วได้เตรียมการเรียบร้อยในบ้านเซียว จึงเดินทางกลับเมืองหลวงพร้อมกับไป่ฉี
ทันทีที่ไป่ฉีกลับมา เซียวเฉวียนก็มอบหมายงานให้ไป่ฉีไปที่ถ้ำเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น
ไป่ฉีที่เพิ่งกลับมา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขางงอยู่นิดหนึ่ง ใจคิดว่าเจ้านายเป็นอะไรไป องค์หญิงก็อาศัยอยู่ที่นั่น เซียวเฉวียนอยากรู้ ไปดูเอาเองไม่ดีหรือ ?
เซียวเฉวียนเห็นไป่ฉีสับสน จึงอธิบายว่า "องค์หญิงถูกรับตัวกลับมาอยู่จวนเซียวแล้ว"
พอได้ยิน ไป่ฉีก็ตระหนักได้ทันที ดังนั้น ตอนนี้คนที่อยู่ในถ้ำเป็นคนอื่นหรือ ?
ปฏิกิริยาแรกของไป่ฉี ก็นึกถึงจางเคอ ไอ้คนบ้าตัณหาคนนี้
นอกจากจางเคอ ไม่น่ามีใครสามารถหายันสถานที่ห่างไกลเช่นนั้นได้
“เจ้านาย จางเคอใช่ไหม ?” พูดถึงจางเคอ สีหน้าของไป่ฉีก็เย็นชาทันที
"อื่ม !" เซียวเฉวียนก็ดูเย็นชาเช่นกัน
เป็นเขาจริงๆ !
เที่ยวก่อน เขามาหมายตาองค์หญิง ไป่ฉีไม่สามารถฆ่าเขาได้ ถือว่าเขาโชคดี เขาไม่เพียงแต่ไม่กลับเนื้อกลับตัว ยังกล้าไปกวนองค์หญิงอีกแล้วหรือ ?
หาเรื่องตายแท้ๆ !
“แต่ว่า ผ่านไปตั้งหลายวันแล้ว เขาคงตายไปแล้วกระมัง” เซียวเฉวียนกล่าวเสริม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...