ตอน บทที่1290 แอบปลื้มอยู่ในใจ จาก ซูเปอร์ลูกเขย – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่1290 แอบปลื้มอยู่ในใจ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายนิยายจีนโบราณ ซูเปอร์ลูกเขย ที่เขียนโดย ชิงเฉิง เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
เมื่อถึงเวลานั้น ไป๋ฉี่สามารถอยู่คนเดียวได้อย่างสมบูรณ์ เข้าสู่สนามรบต่อสู้เพื่อฆ่าศัตรู และกลายเป็นเทพแห่งการสังหารที่แท้จริง
แต่ว่า สงครามมันช่างโหดร้ายเหลือเกิน แต่พวกทหารจะติดตามนายของตนเองเท่านั้น และได้รับคำสั่งจากประเทศและนายพล
ถ้าหากว่าไปฉี่เป็นเหมือนฮวาเซี่ยไป๋ฉี่จริงๆ ความปรารถนาที่จะฆ่ามากเกินไป และฆ่าพวกทหารให้หมดกำจัดให้สิ้นซาก มันโหดร้ายเกินไป
เซียวเฉวียนหวังว่า ในอนาคตไป๋ฉี่จะเป็นผู้นำกองทัพ ในระหว่างสงครามชนะและสามารถโน้มน้าวผู้คนด้วยคุณธรรม แต่ไม่ใช่การใช้ความรุนแรงเพื่อต่อสู้กับความรุนแรง ใช้มาตรการที่รุนแรง และยังคงฆ่าทหารทุกคนที่ต้องการยอมจำนน
เซียวเฉวียนจะคุยกับไป๋ฉี่เกี่ยวกับเรื่องนี้ในภายหลัง หากไป๋ฉี่ได้ไปที่สนามรบจริงๆ
ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคนเราก็คือตัวเรานั้นเอง
ผู้ที่สามารถควบคุมตัวเองได้ ก้าวสำคัญได้ก้าวออกบนเส้นทางสู่ความสำเร็จแล้ว
ในแง่ของการควบคุมตนเอง เซียวเฉวียนรู้สึกว่าไปฉี่จำเป็นต้องเรียนรู้ฝืกฝนเพิ่มขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดเดิมซ้ำอีก และปฏิบัติตามเส้นทางเก่าของเปิ่นซุนฮวาเซี่ยไป๋ฉี่
เมื่อเซียวเฉวียนพวกเขาสองคนมาถึงชั้นล่าง พอดีมีโต๊ะว่าอยู่หนึ่งโต๊ะ
เซียวเฉวียนและไป๋ฉี่นั่งลง สั่งถั่วลิสงหนึ่งจาน เหล้าหนึ่งกา หลังจากนั้นก็นั่งฟังผู้คนซุบซิบๆอย่างสบายใจ
ขณะที่เซียวเฉวียนกำลังฟังด้วยความสนใจอย่างมาก เสี่ยวเอ้อร์ก็เดินเข้ามาและพูดด้วยสีหน้าประจบประแจง:"ไม่ทราบว่าลูกค้าทั้งสองท่านต้องการสั่งอาหารอย่างอื่นเพิ่มหรือไม่?"
นี่เป็นครั้งที่สามที่เสี่ยวเอ้อร์ถามแล้ว
เซียวเฉวียนรู้ว่าเสี่ยวเอ้อร์หมายถึงอะไร เขาอยากจะบอกว่าพวกเซียวเฉวียนเขาทั้งสองคนนั้นได้ครอบครองห้องน้ำไว้แต่ไม่ได้อุจจะระ สั่งแค่ถั่วลิสงหนึ่งจานและเหล้าหนึ่งกาจาน แต่นั่งอยู่ที่นี่เกือบทั้งวัน มันเสียวเวลาการธุรกิจของพวกเขา
ในความเป็นจริงแล้วเขาไม่ได้พูดตรงๆ เซียวเฉวียนจะสั่งอาหารต่อหรือจ่ายเงินแล้วออกไป อย่ามาใช้ถั่วลิสงหนึ่งจานและเหล่าหนึ่งกาและนั่งบนโต๊ะนานขนาดนี้
ทำอย่างไรได้ เซียวเฉวียนยังคงพูดซ้ำโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า:"เดี๋ยว"
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เสี่ยวเอ้อร์ก็มองเซียวเฉวียนและดูถูกในใจอย่างยิ่ง แต่สีหน้าของเขาพูดด้วยรอยยิ้มร่าเริง:"ได้"
ทันทีที่เสี่ยวเอ้อร์หันหลัง เซียวเฉวียนก็ตะโกนเรียกเขาว่า:"เสี่ยวเอ้อร์ เอาอาหารจานเด่นของในร้านเจ้ามาให้ขาสองอย่าง"
มาถึงก็สั่งแค่ถั่วลิสงหนึ่งจานและเหล้าหนึ่งกา มาสั่งอาหารกะทันหันก็สั่งอาหารจานเด่นสองจานของในร้าน มันใจกว้างได้ขนาดนี้
ล้อเล่นใช่ไหม?
มีเงินจ่ายหรือไม่?
แต่ว่า เมื่อมองดูเสื้อผ้าของพวกเขาสองคนนี้แล้ว พวกเขาก็ไม่ได้ดูแย่ พวกเขามีบุคลิกลักษณะนิสัยมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย และดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ใช่ไม่มีเงินจ่าย
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด เสี่ยวเอ้อร์จึงถามอย่างสงสัย:"ลูกค้าจะสั่งอาหารจานเด่นสองอย่าง จริงจังหรือไม่?"
เซียวเฉวียนพยักหน้าและกล่าวว่า:"ใช่ จริงจัง"
“ได้เลย”เสี่ยวเอ้อร์โยนผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือพาดไหล่ ผ้าเช็ดหน้าถูกวางอย่างแน่นหนาบนไหล่ของเสี่ยวเอ้อร์ และเสี่ยวเอ้อร์ก็ได้เดินไปที่ห้องครัว
ในปากตะโกนว่า:"อาหารจานเด่นสองจาน"
โรงเตี๊ยมแห่งเมฆไม่เคยมีแขกที่ใจกว้างขนาดนี้มาก่อน เมื่อก่อน ไม่ว่าจะใจกว้างแค่ไหน ก็เป็นเพียงแค่สั่งอาหารจานเด่นจานเดียวเท่านั้น ตอนนี้ สองอย่างเพียงสำหรับสองคนเท่านั้น
แต่ว่า พวกเขาสองคน สามารถทานอาหารจานเด่นของร้านหมดหรือไม่?
สามารถทานหมดหนึ่งจานถึงว่าดีมากแล้ว
แน่นอนว่า เสียวเอ้อร์แค่พึมพำอยู่ในใจ ส่วนพวกเขาจะทานอาหารหมดหรือไม่ นั่นไม่ใช่เรื่องที่เสี่ยวเอ้อร์ควรไปสนใจ ขอแค่เซียวเฉวียนมีเงินจ่ายก็พอแล้ว
ทางนี่ เซียวเฉวียนพวกเขาสองนั่งฟังเรื่องที่ผู้คนกำลังซุบซิบอย่างสบายๆ และนั่งรออาหารอร่อยๆมาเสิร์ฟ
ทางนั่น จางจงทำหน้าบูดบึ้งอยู่ตลอดทาง หลังจากที่จางจิ่นได้เดินออกไปจากโรงเตี๊ยมไประยะหนึ่ง เขาทั้งหิวกระหายน้ำและเหนื่อย จางจงไม่สามารถระงับไฟที่ลุกไหม้ในหัวใจของเขาได้
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เมื่อใดถึงจะได้หยุดพัก?
เขากำลังจะเปิดปากพูดแสดงความไม่พอใจ เขายังไม่ได้เปิดปากพูด จางจิ่นก็ชี้ไปที่วัดที่ทรุดโทรมอยู่ตรงหน้าแล้วพูดว่า:"ข้างหน้ามีวัดที่ทรุดโทรมอยู่ คืนนี้พวกข้าก็นอนพักผ่อนที่นั่นกัน"
จางจิ่นก็อดไม่ได้ที่จะไม่ขมวดคิ้ว เมื่อได้ยินเสียงที่เกิดจากการทานอาหาร องครักษ์พวกนี้กินได้น่าเกลียดจริงๆ
ไม่เหมือนกับจางจิ่น ไม่ว่าจะหิวมากแค่ไหนเขาก็ยืนกรานที่จะเคี้ยวช้าๆ และรักษาภาพลักษณ์ของปัญญาชนที่ทัศนคติการกินที่อ่อนโยนและสง่างามที่ควรมี
นี่เป็นครั้งแรกที่องครักษ์ได้ร่วมรับประทานอาหารร่วมกับจางจิ่น ซึ่งเปิดหูเปิดตามากจริงๆ ทุกคนจ้องมองดูจางจิ่นด้วยความประหลาดใจ
พวกเขาไม่เข้าใจจริงๆว่า จางจิ่นซึ่งเป็นชายร่างใหญ่ เขาทำแบบนี้ได้อย่างไร
เมื่อรู้สึกถึงการจ้องมองที่แปลกประหลาด จางจิ่นก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่องครักษ์ ทันใดนั้นองครักษ์ก็มองไปที่อื่น และมองไปรอบๆทำท่าราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เมื่อท้องฟ้าก็เริ่มมืดขึ้นเรื่อยๆ ลมก็พัดแรงมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และส่งเสียงโฮ่โฮ่ออก ในค่ำคืนอันเงียบสงบนี้ เห็นได้ชัดว่ามันน่ากลัวเป็นพิเศษ
หลังจากที่พวกองครักษ์ดื่มและกินอิ่มแล้ว ได้จัดให้คนผลัดกันเฝ้ายามตอนกลางคืน นอกจากคนที่เฝ้ายามตอนกลางคืน ทุกคนก็หลับสนิท
มีเพียงจางจิ่นเท่านั้นที่นอนไม่หลับ ฟังดูเสียงลมทั้งคืน เขาลืมตาและมองดูกองไฟที่อยู่ตรงหน้าของเขา และมองดูเปลวเพลิงกระโดด
องครักษ์คนแรกที่เริ่มเฝ้ายามกลางคืนก็คือจางจง
จางจงมองไปที่จางจิ่นแล้วพูดว่า:"ใต้เท้า ทำไมท่านไม่นอน?"
จางจิ่นจ้องมองไปที่จางจง เขากลอกตาและพูดโกหกว่า:"ไม่ชินกับมัน จึงนอนไม่หลับ"
เขาไม่สามารถพูดได้ว่าที่เขาไม่กล้านอนนั้นเป็นเพราะกลัว
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จางจงก็พูดต่อ:"ใต้เท้า ข้าน้อยไม่รู้ว่ามีอยู่เรื่องหนึ่งควรพูดหรือไม่?"
ถ้าหากไม่รู้ว่าควรพูดหรือไม่นั้น งั้นก็ไม่ต้องพูด ยังมาทำเป็นท่าทีอวดดีแสดงตรงนี้อีก แน่นแนว่าอยากพูด
ในเมื่ออยากจะพูด งั้นก็พูดมาสิ ทั้งๆที่เป็นนักสู้ ยังมาทำเป็นการทำพอเป็นพิธีแบบปัญญาชนอีก มันน่าเบื่อจริงๆ
จางจิ่นใส่ร้ายเขาแบบนี้ในใจ แต่ใบหน้าของเขาก็มีรอยยิ้มเบาๆและพูดว่า:"มีเรื่องอะไร ลองพูดออกมาดู"
เมื่อได้รับอนุญาตจากจางจิ่นแล้ว จางจงก็แอบมีความสุขในใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...