ตอน บทที่ 1340 ดูคุ้นตามาก จาก ซูเปอร์ลูกเขย – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 1340 ดูคุ้นตามาก คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายนิยายจีนโบราณ ซูเปอร์ลูกเขย ที่เขียนโดย ชิงเฉิง เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
เซียวจิงพูดอย่างเข้าใจดี "จ้ะ จิงเอ๋อเชื่อฟังพี่ชายจ้ะ"
เซียวเฉวียนลูบหัวเซียวจิงด้วยความเอ็นดู มองไปในระยะไกล รอให้เขาแก้ปัญหาให้ลงตัวทุกอย่างได้ เขาก็สามารถพาเซียวจิงกลับไปที่เมืองหลวงและครอบครัวจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป
ถ้าไม่ใช่เพราะต้องระวังจางเคอ เซียวเฉวียนคงไม่นำองค์หญิงและลูกสาวแม่ลูกกลับมาจวนเซียวเร็วขนาดนี้
เพราะมีผู้คนจำนวนมากในเมืองหลวง ถึงจวนเซียวจะมีม่านกำบังคุ้มกัน แต่ถึงอย่างไรเซียวเฉวียนก็ไม่ไว้วางใจ
ไม่ให้พวกเธอปรากฏตัวต่อหน้าสายตาของสาธารณชนเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการปกป้องพวกเธอ
เซียวเฉวียนไม่เหมาะที่จะอยู่ที่นี่นาน พี่ชายและน้องสาวพบกันช่วงสั้นๆ เซียวเฉวียนก็ต้องจากไปแล้ว
ก่อนจาก เซียวเฉวียนให้เงินเล็กน้อยกับเซียวจิง บอกให้เธอไปซื้อหาเองถ้าต้องการอะไร ทั้งกำชับให้เธอต้องใส่ใจเรื่องความปลอดภัย
เห็นท่าทางอาลัยอาวรณ์ของเซียวจิง เซียวเฉวียนสัญญาว่าเขาจะมาเยี่ยมเซียวจิงบ่อยๆ เท่าที่เขามีเวลาว่าง
เซียวจิงจึงปล่อยให้เซียวเฉวียนจากไปอย่างสุขใจ
พูดก็พูดเถอะ เซียวจิงเป็นแค่เด็กอายุ 13 ปี เพิ่งจะเรียนมัธยมต้นในยุคปัจจุบัน ยังขี้งอนออดอ้อนในอ้อมแขนของพ่อแม่ ยังเป็นเด็กที่ไม่สันทัดเรื่องของโลก
แต่เซียวจิงกลับผ่านชีวิตมาอย่างลุ่มๆ ดอนๆ ทนทุกข์ทรมานมามากมาย
เซียวเฉวียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสารสาวน้อยคนนี้ สงสารในประสบการณ์ของเธอ และการเข้าใจเรื่องราวของเธอ
เซียวเฉวียนไปหาเซียวจิง คือแอบไปในจังหวะที่เจินฮ่าวไม่ได้รู้ตัว
ช่วงนั้น เจินฮ่าวกำลังจดจ้องดูอาสือขุดมันเทศด้วยอารมณ์อยากรู้อยากเห็น
มองดูกองมันเทศที่ถูกขุดขึ้นมาจากดินโดยอาสือ ตาของเจินฮ่าวจ้องจนนิ่งค้างไปเลย
ดังนั้น เซียวเฉวียนหลบไปไหนเขาก็ไม่รู้สึกตัว
ตอนที่เขาตื่นเต้นจะหันไปถามเซียวเฉวียนว่าจะกินสิ่งนี้อย่างไร จึงพบว่าเซียวเฉวียนไม่รู้หายไปที่ไหนแล้ว
”อาสือ เจ้านายของเจ้าอยู่ไหน” เจินฮ่าวถามด้วยความสงสัย
อาสือมัวแต่ยุ่งอยู่กับการขุดมันเทศ ไม่ได้สังเกตเลยว่าเซียวเฉวียนหายตัวไปตั้งแต่เมื่อไร
แต่เขารู้ว่าเซียวเฉวียนต้องไปหาเซียวจิงแน่ๆ
ในเมื่อเซียวเฉวียนไม่ได้บอกเจินฮ่าว นั่นหมายความว่าเซียวเฉวียนไม่ต้องการให้เจินฮ่าวรู้ว่าเซียวจิงอยู่ที่นี่ ดังนั้นอาสือก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ตัวและย้อนถามว่า "คุณชาย เจ้านายไม่ได้ยืนอยู่กับท่านตลอดหรือ ?
ความหมายก็คืออาสือก็ไม่รู้ว่าเซียวเฉวียนหายไปไหน
“นั่นสิ เขาหายตัวไปทั้งที่ไม่มีใครสังเกตเห็น” เจินฮ่าวทำหน้างงๆ
จังหวะนี้เอง เฟี้ยวที เซียวเฉวียนก็ปรากฏตัวอยู่ข้างๆ เจินฮ่าว และพูดอย่างสีหน้าราบเรียบ "ธรรมชาติเรียกร้อง ไปชิ้งฉ่องมา หาข้ามีอะไรหรือ ?"
เออ พูดมาอย่างนี้ฟังดูไร้ที่ติ เจินฮ่าวไม่สงสัยเขา ยิ้มคิกๆ พูดว่า "พี่เซียว มันเทศนั้นดูแปลกมาก แต่ไม่รู้จะกินยังไง กินอร่อยไหม”
พูดมากขนาดนี้ อยากกินล่ะสิท่า ?
จอมนักชิม
เซียวเฉวียนยิ้มเบา ๆ และพูดว่า "มันเทศ ปรุงกินยังไงก็ได้ แต่ถ้าให้เซียวว่า เอามาย่างกินรสชาติดีที่สุด"
“งั้นเรามาลองย่างกินดูไหม” เจินฮ่าวพูดด้วยดวงตาเป็นประกาย
“ดี เราไปหาเก็บฟืนมาก่อน” เซียวเฉวียนตอบอย่างร่าเริง
เขาก็ไม่ได้กินมันเทศย่างมานานแล้ว ปากชักอยาก
ตราจูเสินซึ่งเคยกินมันเทศมาครั้งหนึ่งไม่อาจลืมรสชาติของมันเทศได้ ตอนนี้เขาได้ยินว่ามีมันเทศกิน ตราจูเสิน ก็ดีใจ เขาพูดด้วยเสียงค่อยๆ "เซียวเฉวียน ย่างเพิ่มหน่อย ข้าก็อยากกินให้จุใจ”
กินให้จุใจ ?
ตราจูเสินกินจุซะเหลือเกิน จะกินให้จุใจ ถึงเซียวเฉวียนจะยอมย่างให้ ก็ไม่มีมันเทศมากมายขนาดนั้น
อีกอย่าง เซียวเฉวียนก็ไม่อยากย่างมากมายขนาดนั้น
เซียวเฉวียนส่งสัญญาณต่อรอง "เหล่าจู อย่ากินเยอะเกิน กินมันเทศมากไปจะผายลมเก่ง มันดูไม่อารยะ"
ในราชวงศ์ต้าเว่ย ไม่ว่าจะเกิดความขัดแย้งภายในยังไง ต้าเว่ยก็ยังคงเหลืออยู่เช่นเดิม
แต่ถ้าถูกโจมตีโดยภูมิภาคตะวันตก มีกองทัพนักรบแท้ช่วยเหลือพวกเขาอีกแรง ต้าเว่ยถูกตีแตกก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ถึงตอนนั้น ราชวงศ์ต้าเว่ยล่มสลาย สำหรับเว่ยเชียนชิวแล้วก็มีแต่เสียไม่มีได้
ถ้าไป๋เจวี๋ยเป็นเว่ยเชียนชิว เขาจะไม่มีวันมอบอำนาจทางทหารให้กับนักปราชญ์เป็นแน่แท้ !
แต่ว่า ไป๋เจวี๋ยเป็นเพียงผู้ใต้บังคับบัญชา ทำได้แต่เชื่อฟังตามคำสั่งเท่านั้น
ยิ่งกว่านั้นเว่ยเชียนชิวมีสันดานเป็นเผด็จการตามอำเภอใจมาโดยตลอด ใครก็ตามที่กล้าตั้งข้อสงสัยกับการตัดสินใจของเขาแม้แต่น้อยจะถือว่าไม่เคารพเขา
ดังนั้น แม้ไป๋เจวี๋ยจะมีข้อสงสัย ก็ได้แต่เก็บความสงสัยนั้นไว้ในก้นหัวใจ
เขาแลกตราอาญาสิทธิ์ให้กับนักปราชญ์ พูดด้วยความเคารพ "ผู้น้อยขอคารวะเจ้านาย !"
นักปราชญ์ หนึ่งไม่มีตำแหน่งทางราชการ สองไม่ใช่คนต้าเว่ย ไป๋เจวี๋ยเรียกเขาว่าเจ้านายก็ดูเหมาะสมดี
”ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองมาก” นักปราชญ์พูดอย่างไร้ความรู้สึก
ในตอนนี้เอง ฉินเฟิงเดินเข้ามาและพูดด้วยความเคารพ "ผู้น้อยขอคารวะท่านเจียนกั๋ว"
นักปราชญ์ไม่เคยเห็นฉินเฟิง ทั้งไม่รู้จักสถานะของฉินเฟิง ยิ่งไม่รู้ต้นสายปลายเหตุที่ฉินเฟิงมาในค่ายทหารได้อย่างไร
อย่าว่าแต่นักปราชญ์ไม่รู้ แม้แต่เสวียนจิ้งก็ไม่รู้
เรื่องที่ฉินเฟิงถูกส่งมาอยู่ค่ายทหาร นอกจากเว่ยเชียนชิวและเฮยหลางแล้ว ไม่มีใครรู้อีกเลย
ครั้งที่แล้วตอนที่เสวียนจิ้งมา ฉินเฟิงบังเอิญออกไปทำธุระข้างนอก พลาดโอกาสที่จะได้พบเสวียนจิ้งไป
แต่ว่า ฉินเฟิงอดีตเคยเป็นลูกชายคนโตที่สง่างามของตระกูลฉิน มีโอกาสปรากฏหน้าตามากมาย ดังนั้น เสวียนจิ้งจึงเคยเห็นฉินเฟิงไม่น้อยครั้งเลย
ดังนั้นครั้งแรกที่เสวียนจิ้งเห็นฉินเฟิง เขารู้สึกว่าฉินเฟิงดูคุ้นตามาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...