ตอน บทที่ 1365 เสียงคัดค้าน จาก ซูเปอร์ลูกเขย – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 1365 เสียงคัดค้าน คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายนิยายจีนโบราณ ซูเปอร์ลูกเขย ที่เขียนโดย ชิงเฉิง เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
เซียวเฉวียนตอบตกลงให้เสินหลิงทั้งสามคนเข้ามาเรียนหนังสือในสถานศึกษาชิงหยวนได้โดยไม่พูดให้มากความ ชาวบ้านรอบตัวกำลังขมขื่นและสัมผัสได้ถึงความวิกฤตในเวลาเดียวกัน
ทำไมมาตรฐานของสถานศึกษาชิงหยวนถึงได้ต่ำเช่นนี้ แม้แต่ขอทานก็ยังเข้าไปได้
ลูกหลานของพวกเขาโดดเด่นกว่าขอทานเสียอีก
ให้ลูกหลานของพวกเขาเรียนร่วมกับเด็กขอทาน ชาวบ้านต่างรู้สึกไม่ดีในใจ
แต่ให้รู้สึกไม่ดีก็ส่วนรู้สึกไม่ดี ประมุขแห่งชิงหยวนคือเซียวเฉวียน ชิงหยวนไม่ได้ถูกสร้างเพราะเงินของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาไม่มีสิทธิ์ตำหนิเซียวเฉวียน
อีกอย่างพวกเขารู้ดี เด็กที่เหมือนเสินหลิงมีจำนวนไม่น้อย ถ้าเรื่องที่พวกเขาเข้ามาอยู่ในชิงหยวนได้แพร่สะพัดออกไป พวกเขาต้องแข่งขันกับลูกหลานของเขาเพื่อแย่งสมัครเป็นแน่ ถ้าถูกแย่งไปหมด ลูกหลานของตนคงจะเสียโอกาสที่ดีไปเป็นแน่
ดังนั้นตอนนี้พวกเขาต่างพยายามยื้อแย่งกันลงสมัครโดยไม่มีกะจิตกะใจจะแสดงความไม่พอใจต่อเซียวเฉวียน กระทั่งมีชาวบ้านหลายคนช่วยลงชื่อสมัครให้ลูกหลานของตัวเองด้วย
เวลานี้ยังจะลังเลอะไรอยู่อีก?
ขืนลังเลต่อไปมีหวังไม่เหลือที่แน่
พูดได้ว่าการปรากฏตัวของเด็กสามคนนี้สร้างความกระวนกระวายใจให้กับชาวบ้านไม่น้อย เปลี่ยนความเน่าเฟะให้กลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ได้ เปลี่ยนจากผู้ถูกกระทำเป็นฝ่ายกระทำได้ ทำให้พวกเขาต่างแข่งขันกันลงสมัครชื่ออย่างไม่มีใครยอมใคร
ไม่นานข่าวคราวการเปิดรับสมัครของสถานศึกษาชิงหยวนก็ดังไปทั่วเมืองหลวง รวมทั้งหมู่บ้านในละแวกใกล้เคียงด้วย
เวลานี้เมืองหลวงต่างมีผู้คนหลั่งไหลกันเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย เมืองหลวงดูคึกคักขึ้นทันตา
ทันทีที่ข่าวนี้ล่วงรู้ถึงหูฮ่องเต้ ฮ่องเต้ทรงตรัสด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ความคิดสกปรกของราชครูช่างมากมายยิ่งนัก”
คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามฮ่องเต้คืออี้กุยที่เขาวังได้ไม่นาน
ทั้งสองคนกำลังเล่นหมากรุก
อี้กุยพูดเสียงเบา “ท่าทางโลกใบนี้จะไม่มีเรื่องไหนที่เป็นไปไม่ได้สินะ”
อี้กุยกับฮ่องเต้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่ทั้งสองคนยังคงความเป็นจักรพรรดิและขุนนางไว้ ประกอบกับที่เซียวเฉวียนเป็นเสด็จลุงของอี้กุย ซึ่งอี้กุยไว้วางใจเหมือนต้องมนต์
ดังนั้นหลังจากที่จำเซียวเฉวียนเสด็จลุงคนนี้ได้แล้ว ฮ่องเต้ก็รู้สึกว่าอี้กุ้ยกลายเป็นคนแปลกหน้าไม่น้อย
เมื่อก่อน อี้กุยมักจะเข้ามาพูดคุยและหมากรุกเป็นเพื่อนฮ่องเต้เสมอสามถึงห้าวัน ช่วยแก้ไขปัญหาค้างแคลงใจให้กับฮ่องเต้
บัดนี้ ถ้าไม่มีเรื่องสำคัญ อี้กุยจะไม่เข้าวัง
และที่เข้าวังมาในวันนี้ก็เพราะเป็นคำสั่งของฮ่องเต้
ความจริงแล้วฮ่องเต้เรียกให้เขาเข้าวังมารวมตัวเท่านั้น
คำพูดของอี้กุย ฮ่องเต้ชื่นชม "คงไม่มีเรื่องอะไรสร้างความลำบากใจให้เขานะ"
"ข้าได้ยินมาว่าเจ้าช่วยเซียวเฉวียน เราไม่เคยทำอสังหาริมทรัพย์ที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษมาก่อน เจ้าเคยคิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาไหม?" ฮ่องเต้มองหมากรุกพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
อี้กุยวางตัวหมากหนึ่งตัว จากนั้นก็เหยียดยิ้มด้วยสีหน้าเรียบเฉย "ฝ่าบาททรงหมายถึงศาลาคุนหวู่ใช่หรือไม่?”
“จะว่าไปแล้ว การปิดศาลาคุนหมู่ไม่ใช่เพื่อท่านปู่น้อย แต่เพื่อศักดิ์ของตระกูลอี้”
วาจาของอี้กุย ฮ่องเต้ทรงเข้าพระทัยดี เจี้ยนจงกลับมาสร้างผลกระทบใหญ่หลวงให้กับศาลาคุนหวู่
แต่ฮ่องเต้ทรงรู้ดี ลำพังแค่ความสามารถของตระกูลอี้ แม้ว่าการหล่อหลอมอาวุธไม่ต้องใช้แร่ธาตุจากภูเขาคุนหลุนก็ตาม แต่สายอาชีพนี้ก็เหมือนที่ทางของเขา
ดังนั้นอี้กุยจึงบอกได้ว่าการปิดศาลาคุนหวู่ก็เพื่อรักษาศักดิ์ศรีของตระกูลอี้ ทว่าก็เป็นฉากบังหน้าเท่านั้น
ฮ่องเต้ทรงตระหนักได้ สุดท้ายแล้วอี้กุยก็ทำเพื่อช่วยเซียวเฉวียนดูแลธุรกิจ จึงว่างงานของตัวเองลง
แต่อี้กุยรักอิสระ ฮ่องเต้ก็ทรงตรัสอะไรไม่ได้ ดังนั้นอี้กุยพูดคำไหนก็ทำอย่างนั้น
ฮ่องเต้คล้อยตามคำพูดของเขา “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ถูกต้อง มองการณ์ไกลดีนี่”
เปิดรับสมัครนักศึกษา ไม่มีปัญหา
แต่ยังเปิดชั้นเรียนสำหรับสตรี ให้สตรีโผล่หน้าออกมาจากเรือน มันสมเหตุสมผลแล้วหรือ?
อีกอย่างต่อให้สตรีไม่มีความรู้ก็ยังมีคุณธรรม
สิ่งสำคัญคือ ถ้าสตรีมีความรู้ พวกนางจะกลายเป็นคนมีความคิด กำราบได้ยาก ไม่เป็นผลดีต่อครอบครัวนัก
ดังคำกล่าวโบราณว่าไว้ ภายในต้องสงบก่อนจึงค่อยสู้ศึกภายนอก เรือนไม่สงบ บุรุษเหล่านั้นจะทำงานอย่างสบายใจได้อย่างไร
เซียวเฉวียนทำเช่นนี้ ล้อกันเล่นใช่หรือไม่?
พอเอ่ยเรื่องนี้ พวกเขาก็อดนึกถึงเรื่องการเลื่อนขั้นไม่ได้ เซียวเฉวียนผู้นี้อาจหาญเกินไปและไม่เห็นหัวใคร ล้อเล่นกับขุนนางระดับเค่อจี่ครั้งหนึ่งแล้ว นี่ยังจะล้อเล่นกับสถานศึกษาชิงหยวนอีก
ขืนปล่อยให้เขาสร้างความเดือดร้อนต่อไป ไม่รู้ว่าต้าเว่ยจะถูกเขาปั่นหัวจนมีสภาพเช่นไร
เสนาบดีอีกคนเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นไปไม่ได้”
จากนั้นเสนาบดีคนอื่น ๆ ต่างทยอยกันออกความเห็นอย่างสามัคคีโดยไม่ได้นัดหมาย “ฝ่าบาท อย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นไปไม่ได้!”
พวกเขาไม่ให้โอกาส ทำให้เซียวเฉวียนเปิดชั้นเรียนสตรีได้สมปรารถนา
หากสตรีปรารถนาจะเล่าเรียน มีเพียงบุตรสาวของเสนาบดีเหล่านี้ถึงจะเล่าเรียนได้
มีเพียงจางจิ่นและจ้าวหลานลดมือลง หลุบตามองต่ำ นิ่งไม่ไหวติ่ง
จางจิ่นกลับมาเมืองหลวงเมื่อสองวันก่อน การเดินทางมายังรัฐมู่อวิ๋น จางจิ่นเห็นศักยภาพของเซียวเฉวียนกับตาตัวเอง
จางจิ่นยังคงห่างไกล
ดังนั้นหลังจากเขากลับมา เขารู้สึกว่าทุกอย่างดูเปลี่ยนไป พูดน้อย และทำมากขึ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...