อ่านสรุป บทที่ 1368 การโต้แย้งที่ไร้ผล จาก ซูเปอร์ลูกเขย โดย ชิงเฉิง
บทที่ บทที่ 1368 การโต้แย้งที่ไร้ผล คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายนิยายจีนโบราณ ซูเปอร์ลูกเขย ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย ชิงเฉิง อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
เสนาบดีคนนี้ก็คือผู้ตรวจการราชสำนักคนปัจจุบัน——อู๋ฟาน
หลังจากที่หยวนเหยาจากไป ตำแหน่งผู้ตรวจการราชสำนักก็ว่างมาโดยตลอด
ผู้ตรวจการราชสำนักคือหนึ่งในตำแหน่งซานกง ถือเป็นตำแหน่งที่สำคัญ ไม่อาจว่างเว้นได้เป็นระยะเวลานาน อู๋ฟานผู้นี้จึงต้องเข้ารับตำแหน่ง
อู๋ฟานเป็นคนจากค่ายของเว่ยเชียนชิว เขามีความทะเยอทะยานมาก ครั้งหนึ่งเขาต้องการนั่งในตำแหน่งอัครเสนาบดี เป็นผู้นำของขุนนางทั้งหลาย แต่เว่ยเชียนชิวกลับไม่เห็นคุณค่าและดูถูกเขาเป็นอย่างมาก ปล่อยให้เขาเร่ร่อนและเป็นลูกน้องของหยวนเหยามาโดยตลอด
ดังนั้นในใจของเขาจึงรู้สึกไม่พอใจเว่ยเชียนชิว
ในแง่ของความรู้และความสามารถ เขาคิดว่าตนเองไม่ได้ด้อยไปกว่าจางจิ่นเลยแม้แต่น้อย เหตุใดเว่ยเชียนชิวจึงเอาแต่ยกย่องจางจิ่น และเพิกเฉยต่อเขาราวกับว่าไร้ตัวตน?
อู๋ฟานรู้ว่าเว่ยเชียนชิวนั้นพึ่งพาไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ไว้วางใจเว่ยเชียนชิว เขามุ่งมั่นอย่างเงียบ ๆ พยายามปีนป่ายขึ้นไปด้วยตัวเอง
คิดไม่ถึงว่าฟ้าดินจะขาดความรับผิดชอบเช่นนี้ เพื่อห้ามไม่ให้เซียวเฉวียนเดินทางไปซินเจียง ถึงขั้นบังคับให้หยวนเหยาถึงแก่ความตาย
การจากไปของหยวนเหยาได้มอบโอกาสในการขึ้นสู่ตำแหน่งให้กับอู๋ฟาน
หากพูดจากแง่มุมใดแง่มุมหนึ่ง เซียวเฉวียนเป็นคนสร้างโอกาสให้กับอู๋ฟาน ตามเหตุผลแล้ว อู๋ฟานควรที่จะขอบคุณเซียวเฉวียน
แต่อู๋ฟานไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกขอบคุณ เขายังรู้สึกเกลียดชังเซียวเฉวียนเป็นอย่างมากอีกด้วย
ในใจของเขา เขารู้สึกว่าเขาได้กลายมาเป็นผู้ตรวจการราชสำนักเพราะความสามารถของเขา ทั้งหมดเกิดจากความพยายามของเขา ทั้งหมดเกิดจากการที่เขาสามารถอดทนต่อความอัปยศอดสูที่ผ่านมาได้
เห็นได้ชัดว่าเขาพยายามอย่างหนัก เห็นได้เขาว่าเขาเป็นคนที่มีความรู้และความสามารถ แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ลูกหลานของตระกูลขุนนาง แต่พ่อของเขาก็มีชื่อเสียงเช่นกัน แต่เขากลับต้องทำงานหนักในฐานะขุนนางมากกว่ายี่สิบปี เขาถึงจะสามารถปีนป่ายขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้ได้
แต่เซียวเฉวียน เขาเกิดมาจากครอบครัวที่ยากจน ไม่ผ่านการทดสอบระดับชนบทมาถึงสามปีติด แม้ว่าสุดท้ายแล้วเขาจะสอบผ่านจอหงวน แต่ไม่แน่ว่านั่นอาจเป็นเพียงแค่โชคชะตา บุคคลที่เป็นชนชั้นกลางเช่นนี้ ภายในระยะเวลาหนึ่งปีจะกลายเป็นประมุขแห่งชิงหยวน จะกลายเป็นราชครู มันเป็นไปได้อย่างไร!
เขาไม่มีทางยอมรับมันเป็นแน่!
เขาพยายามถึงเพียงนี้ยังไม่อาจเอื้อมถึงจุดนั้น แล้วเหตุใดเซียวเฉวียนจึงได้มันมาอย่างง่ายดาย?
และเว่ยเชียนชิวก็อีกคน หากเขาไม่สนับสนุนจางจิ่น ไม่ช้าก็เร็ว ตำแหน่งอัครเสนาบดีจะต้องตกเป็นของเซียวเฉวียน
ยังดีที่ฟ้ายังมีตา ในที่สุดเว่ยเชียนชิวก็ตายจากไป ในที่สุดเขาก็ตายไปได้สักที!
ไม่มีเว่ยเชียนชิวคอยให้การสนับสนุนจางจิ่น อู๋ฟานก็ไม่จำเป็นต้องกลัวสิ่งใด!
เขาต้องการนั่งบนตำแหน่งอัครเสนาบดี เป็นคนต่ำกว่าบุคคลเพียงแค่คนเดียว แต่อยู่เหนือคนนับหมื่น!
และหลังจากนั้น เขายังต้องการแย่งชิงสิ่งของทั้งหมดที่อยู่ในมือของเซียวเฉวียนให้กลายมาเป็นของเขา ประมุขแห่งชิงหยวน ราชครู ทั้งหมดจะต้องเป็นของเขา!
ฮึ!
จางจิ่นผู้โง่เขลา!
หากเมื่อครู่เขาไม่หันไปทางเซียวเฉวียน อู๋ฟานก็คงไม่จ้องตำแหน่งอัครเสนาบดีจนตาเป็นมัน
นี่คือตำแหน่งของจางจิ่น มันทำให้อู๋ฟานรู้สึกว่า ในเมื่อจางจิ่นได้รับผลกระทบและถูกให้ความสำคัญจากคนของเว่ยเชียนชิว แต่เว่ยเชียนชิวก็จากไปแล้ว ดังนั้นจึงหันมาทางเซียวเฉวียน เช่นนั้นเหตุใดอู๋ฟานจึงไม่ใช้โอกาสนี้ในการก้าวไปยังตำแหน่งที่ดีกว่า?
แม้ว่าตำแหน่งของผู้ตรวจการราชสำนักจะสูง แต่มันก็ไม่อาจเทียบเท่ากับตำแหน่งหัวหน้าของเหล่าขุนนางได้
อีกอย่างตำแหน่งอัครเสนาบดีนั้นก็คือความตั้งใจแรกเริ่มของอู๋ฟาน ก่อนหน้านี้เป็นเพราะไม่มีโอกาส แต่เวลานี้โอกาสมาถึงแล้ว แน่นอนว่าเขาต้องคว้ามันเอาไว้
ก่อนอื่นก็ต้องตัดเส้นทางของเซียวเฉวียนเสียก่อน นั่นถึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องอย่างแท้จริง
เขาต้องการใช้สถานศึกษาชิงหยวนในการโน้มน้าวหัวใจผู้คน อย่าคิดว่าอู๋ฟานมองไม่ออก
และก็มีแต่ฮ่องเต้และคนอย่างพวกจางจิ่นที่ยังโง่เขลา ไม่รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี หันไปพึ่งพาเซียวเฉวียน
อู๋ฟานไม่มีทางปล่อยให้เขาได้สมความปรารถนา
ฮ่องเต้ได้ยินเรื่องนี้ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย คิดในใจ ที่ผ่านมาอู๋ฟานไม่ใช่คนเช่นนี้ ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยขัดขืนประสงค์ของฮ่องเต้ต่อหน้าผู้คนมาก่อน เหตุใดวันนี้เขาถึงได้ดื้อรั้นและยืนกรานที่จะทำเช่นนี้?
เป็นไปได้ไหมว่าเขาถูกกระตุ้นด้วยบางสิ่งบางอย่าง?
ฮ่องเต้นั่งตัวตรง กล่าวออกมาอย่างสงบ “เอ๊ะ? เหตุใดถึงเป็นไปไม่ได้? ไหนฝ่ายตรวจการลองพูดออกมา”
เขาอยากจะได้ยินด้วยหูของตัวเอง คนที่ไม่เคยทำตัวเหลวไหลหรือทำอะไรผลีผลามอย่างอู๋ฟาน เหตุใดถึงได้ทำอะไรเช่นนี้ออกมา
เซียวเฉวียนได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย “รู้อยู่แล้วว่าพวกเขาจะต้องคัดค้านอย่างสุดความสามารถ”
แต่สำหรับอู๋ฟานผู้นี้ เซียวเฉวียนไม่มีความประทับใจในตัวของเขาเลยแม้แต่น้อย
คิดไม่ถึงเลยว่า หลังจากที่เซียวเฉวียนจัดการกับจางเคอไปได้ไม่นาน คนอย่างอู๋ฟานก็จะปรากฏตัวออกมา
เมื่อพิจารณาจากคำพูดของจ้าวหลาน เซียวเฉวียนรู้สึกว่าอู๋ฟานนั้นเหมือนเป็นคนคนเดียวกันกับจางเคอ ชอบแสร้งทำตัวต่ำต้อยเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ
แต่อู๋ฟานผู้นี้มีความอดทนทางด้านอารมณ์มากกว่าจางเคอ อย่างน้อยเขาก็สามารถควบคุมตนเองจนก้าวมาถึงตำแหน่งผู้ตรวจการราชสำนักได้ เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้มีไหวพริบมากกว่าจางเคอเป็นไหน ๆ
ที่แท้หลังจากเสร็จราชกิจ จ้าวหลานก็เปลี่ยนเสื้อผ้าและรีบตรงมายังชิงหยวน
เขาบอกเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในพระราชสำนักให้เซียวเฉวียนได้รับรู้ ทำให้เซียวเฉวียนมีความสุข
จากนั้นก็ดูว่าตนเองสามารถช่วยอะไรได้บ้าง
ตอนนี้ผู้คนที่เดินทางมายังสถานศึกษาชิงหยวน นอกจากลงทะเบียนก็ไม่มีเรื่องอื่นใด
และเรื่องการลงทะเบียนก็ได้เพิ่มตำแหน่งจิ้นซื่อเข้าไปแล้ว ประสิทธิภาพของพวกเขาสูงมาก เมื่อจ้าวหลานมาถึง จำนวนคนที่มาลงทะเบียนก็เหลืออีกไม่มาก
ดังนั้นจ้าวหลานจึงไม่จำเป็นต้องเข้าไปช่วย
เมื่อเห็นว่าจ้าวหลานมีใจอยากช่วยเป็นอย่างมาก เซียวเฉวียนจึงเชิญเขามารวมตัวกันที่จวนเซียว
การให้เกียรตินั้นเทียบไม่ได้กับการปฏิบัติตามคำสั่ง จ้าวหลานค่อยตามเซียวเฉวียนไปยังจวนเซียว
ในความเป็นจริงจ้าวหลานควรเดินทางไปยังพื้นที่ห่างไกลเพื่อประเมินการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตั้งนานแล้ว แต่เมื่อคิดว่าเขากับพวกของฉินหนานจะเดินทางออกจากเมืองหลวง เป้าหมายมันก็ดูใหญ่เกินไป
ดังนั้นพวกเขาจึงตกลงกันว่าจะเดินทางโดยการสับหลีก
ฉินหนานกับฉินเป่ย รวมถึงฉินซูโหรวออกเดินทางในวันรุ่งขึ้นหลังจากฮ่องเต้ออกพระราชโองการ
ส่วนจ้าวหลานเองก็ควรออกเดินทางเช่นกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...