บทที่ 1379 อนาคตที่จะมาถึง – ตอนที่ต้องอ่านของ ซูเปอร์ลูกเขย
ตอนนี้ของ ซูเปอร์ลูกเขย โดย ชิงเฉิง ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายนิยายจีนโบราณทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 1379 อนาคตที่จะมาถึง จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
ฉินเฟิงกำลังคิดทบทวน เซียวเฉวียนได้รับรู้สถานการณ์ทางด้านของเขตเมืองชานถัง จะต้องมาอย่างแน่นอน
คิดไปคิดมา จนฟ้าสว่างแล้ว
คาดไม่ถึงว่า ฉินเฟิงยังไม่ทันรอให้เซียวเฉวียนมา นักปราชญ์ก็มาแล้ว
ยังมีหมิงเจ๋อ ที่มาพร้อมกับนักปราชญ์
หมิงเจ๋อเป็นคนตาบอด แขนขาด ขาพิการทำให้เป็นที่ดึงดูดความสนใจจากฉินเฟิง โดยเฉพาะผมสีขาวนั้น ดึงดูดสายตาอย่างมาก
ไม่ใช่ว่าฉินเฟิงไม่เคยเห็นหมิงเจ๋อมาก่อน แต่ตอนนั้นผ่านมาหลายปีมากแล้ว
ตอนนั้น หมิงเจ๋อหน้าตาหล่อเหลามาก เป็นคุณชายรูปหล่อคนหนึ่ง ท่าทางการเคลื่อนไหวก็ดูสูงส่งสง่ามงาม เพียงแค่เห็นก็ทำให้คนอื่นไม่สามารถลืมเลือนได้
แต่ตอนนี้ ฉินเฟิงไม่สามารถคิดว่าองค์ชายหมิงเจ๋อกับคนพิการที่อยู่ตรงหน้านี้ว่าเป็นคนเดียวกันได้
ในสายตาของฉินเฟิง องค์ชายหมิงเจ๋อกับคนพิการที่อยู่ตรงหน้านี้ เกรงว่าจะเป็นคนละคนกัน
แต่ว่า ฉินเฟิงแปลกใจสงสัยอย่างมากว่านักปราชญ์พาคนพิการมาที่กองทัพเพื่ออะไร หรือว่าอะไรพิเศษที่เกี่ยวข้องกับเขา?
แปลกใจ แต่ฉินเฟิงก็ไม่พูดออกไป
ต้องการจะเป็นสายลับที่ดี สิ่งที่สำคัญที่สุดคือทำให้มาก พูดให้น้อย และก็อย่าถามมาก
เพราะความวิบัติเกิดจากปาก และความอยากรู้อยากเห็นจะนำภัยมาสู่ตัว
ยิ่งไปกว่านั้น ความอยากรู้อยากเห็นไม่ใช่ว่ามีแค่ฉินเฟินเพียงคนเดียว รอให้คนอื่นพูดถาม จะดีกว่าไม่ใช่เหรอ?
เป็นจริงดังนั้น เมื่อไป๋เจวี๋ยเห็นนักปราชญ์พาคนพิการมาด้วยคนหนึ่ง เขาไม่คิดอะไรทั้งนั้น พูดถามออกไปทันที:“นายท่าน คนนี้คือ?”
ชาวยุทธ์แท้มีการพัฒนาอย่างดีและมีจิตใจที่เรียบง่ายจริงๆ คิดอะไรก็ถามออกไปอย่างนั้น ไม่รู้จักสันนิษฐานว่าไม่ และไม่คาดเดาว่านักปราชญ์จะอยากให้เขารู้หรือไม่
ในทางกลับกัน มีคำพูดอะไร พวกเขาก็พูดออกไปตรงๆ มีปัญหาอะไร พวกเขาก็ถามออกไปตรงๆ
แต่ว่า น้ำเสียงของไป๋เจวี๋ยมีความเคารพนอบน้อม
นักปราชญ์หันมองหมิงเจ๋อเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ขยับเข้าไปกระซิบข้างหูหมิงเจ๋อ ส่วนเขาพูดอะไรนั้น ฉินเฟิงและคนอื่นๆไม่ได้ยิน
หลังจากที่ทั้งสองคนกระซิบพูดคุยกัยเสร็จแล้ว นักปราชญ์ก็พูดขึ้นว่า :“ข้าในฐานะเจ้าสำนักขอแนะนำ ท่านนี้เป็นญาติคนหนึ่งของข้า ชื่อว่าเจ๋อหมิง”
เหล่ากองกำลังชาวยุทธ์แท้ที่อยู่ตรงหน้า เป็นคนต้าเว่ย ถ้าให้พวกเขารู้ว่า นักปราชญ์กับองค์ชายหมิงเจ๋อของซินเจียงสมรู้ร่วมคิดกัน ก็อาจจะเกิดการคัดค้านขึ้นมาได้
ตอนนี้ ถึงแม้ว่านักปราชญ์จะได้การยอมรับจากกองทัพแล้ว แต่ตำแหน่งในกองทัพของเขายังไม่มั่นคง
ถ้าตอนนี้ ทำให้กองกำลังชาวยุทธ์แท้ไม่พอใจคัดค้าน จะได้ไม่คุ้มเสีย
และอีกอย่าง เป็นถึงองค์ชายหมิงเจ๋อของซินเจียงต้องมาตกอยู่ในสภาพอย่างตอนนี้ พอเห็นก็รู้ทันทีว่าต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างแน่นอน
เรื่องภายใน ชาวยุทธ์แท้อยากรู้หรือไม่ จะรู้หรือไม่รู้ก็ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือ เป็นถึงองค์ชายมีสภาพย่ำแย่แบบนี้จะเป็นคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง ถ้าข่าวแพร่ออกไป แน่นอนว่าจะโดนหัวเราะเยาะ
ถึงอย่างไร นักปราชญ์ก็เป็นคนซินเจียง ไม่สามารถให้คนอื่นมาหัวเราะเยาะซินเจียงได้ใช่ไหม?
ดังนั้น เมื่อครู่ที่เขากระซิบข้างหูของหมิงเจ๋อ ก็พูดเรื่องนี้ และหมิงเจ๋อก็เห็นด้วย ความเห็นของทั้งสองคนตรงกัน ปกปิดฐานะที่แท้จริงของหมิงเจ๋อต่อกองกำลังชาวยุทธ์แท้
มีเพียงเสวียนจิ้งคนเดียวที่รู้ความจริง ตอนนี้เขานักปราชญ์และหมิงเจ๋อลงเรือลำเดียวกันแล้ว แน่นอนว่าเขาจะไม่เปิดเผยความลับของนักปราชญ์
เขาก้มหน้าเคารพหมิงเจ๋อและพูดว่า:“เสวียนจิ้งคารวะคุณชายเจ๋อหมิง”
ต่อจากนั้น ฉินเฟิง ไป๋เจวี๋ยและคนอื่นๆก็ทำตามเสวียนจิ้ง คารวะต่อเจ๋อหมิง
แต่ก็แอบมองดูหมิงเจ๋อเล็กน้อย ในใจของฉินเฟิงรู้สึกมีความคิดบ้างอย่างที่รู้สึกเหมือนเรื่องนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว รู้สึกเหมือนกับว่าเคยพบเจอคนๆนี้ที่ไหนมาก่อน
สายตาของฉินเฟิงมองจ้องอยู่ที่หมิงเจ๋ออย่างไม่ลดละ นักปราชญ์พูดขึ้นว่า:“แม่ทัพฉิน เป็นอะไร เจ้าเคยเจอเขามาก่อน?”
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ทันใดนั้นฉินเฟิงก็คิดขึ้นมาได้ ในตาของเขาเป็นประกาย ใช่แล้ว!ชื่อเจ๋อหมิงถ้าสลับชื่อเปลี่ยนกลับมา ก็คือหมิงเจ๋อใช่ไหม?
เมื่อคิดถึงหมิงเจ๋อ ฉินเฟิงอดไม่ได้ที่จะแอบมองประเมินดูเจ๋อหมิงอีกครั้ง ถึงแม้ว่าเขาจะตกอยู่ในสภาพอย่างนี้ แต่ในสายเลือดของเขาก็ยังคงมีความสูงส่งสง่างามอยู่ จะมากน้อยก็ยังพอมีหลงเหลืออยู่บ้าง
และถึงแม้ว่าหมิงเจ๋อจะเป็นคนพิการคนหนึ่ง แต่ท่าทางที่ยังคงสงบนิ่ง ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ แต่เป็นมาตั้งแต่เกิด
ดังนั้น เมื่อสรุปจากที่เห็นทั้งหมดแล้ว ฉินเฟินสามารถตัดสินได้ว่า เจ๋อหมิงที่จริงแล้วก็คือองค์ชายหมิงเจ๋อ
แต่ทำไมนักปราชญ์จะต้องปิดบังฐานะของหมิงเจ๋อ ฉินเฟิงที่เป็นแม่ทัพออกรบมามากมาย ก็พอจะคิดได้เหตุผลได้ข้อสอง
อย่างแรก นักปราชญ์ทำไปเพื่อรักษาตำแหน่งของเขาให้มีความมั่นคงในใจของชาวยุทธ์แท้
อย่างที่สอง นักปราชญ์และหมิงเจ๋อเป็นห่วงชื่อเสียงของซินเจียง
พวกเขาไม่มีทางให้คนอื่นรู้ว่าหมิงเจ๋อกลายเป็นคนพิการ
ทางด้านนี้ นักปราชญ์และกองกำลังชาวยุทธ์แท้รวมตัวกันแล้ว กำลังเตรียมการหาที่หลบซ่อนตัวที่เหมาะสม
และเซียวเฉวียน กำลังเดินทางมาที่เขตเมืองชานถัง
เมืองชานถังและเมืองหลวง อยู่ห่างไกลกันมาก ถึงแม้ว่าเซียวเฉวียนจะมีวิชาเคลื่อนย้าย ก็ยังต้องใช้เวลาถึงสองวัน
และช่วงระยะเวลานี้ นักปราชญ์ได้พากองกำลังชาวยุทธ์แท้ออกเดินทาง ไปอีกสถานที่หนึ่งแล้ว
เพราะนักปราชญ์อยู่ตรงนี้ เพื่อไม่ให้ฐานะของตัวเองถูกเปิดเผย เรื่องเคลื่อนย้ายกองกำลังชาวยุทธ์แท้ ฉินเฟิงจะบอกฉินซูโหรวอีกทีในอนาคตที่จะมาถึง
เขาไม่กล้าเคลื่อนไหวอะไร เช่นการทำเครื่องหมายหรืออะไรไว้ระหว่างทาง
นักปราชญ์เป็นคนที่ฉลาดมาก ถ้าถูกเขาจับได้ แน่นอนฐานะของฉินเฟิงก็จะถูกเปิดเผย
ดังนั้น ฉินเฟิงทำได้เพียงภาวนาในใจ ให้เซียวเฉวียนใช้ความสามารถของตัวเขาเองรีบตามมาให้ทัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...