ดังนั้น หิมะจึงยิ่งลงยิ่งขยายบริเวณไปกว้าง
กองทัพนักรบแท้ที่กำลังเดินทางต่างหยุดก้าวและมองดู ในใจเต็มไปด้วยความหวั่นระแวง
หิมะปลิวจากฟ้ามาสู่ดิน ลงบนพื้น ลงบนร่างของทุกคน
หนาว หนาวเหน็บจนเข้ากระดูก
ทุกคนมิอาจทนจนตัวสั่นสะท้านไปหมด
อยู่ๆ ทำไมหิมะถึงตกลงมาหนักขนาดนี้ได้ ?
ทุกคนต่างทำหน้าเศร้าหมอง มีเพียงคนเดียว ถึงแม้เขาจะตัวสั่นจากความหนาว แต่ก็มีความสุขในใจ
เขาก็คือฉินเฟิง
ฉินเฟิงรู้ว่า ดินฟ้าอากาศที่จู่ๆ เปลี่ยนไป ไม่ใช่ของธรรมชาติ แต่เป็นฝีมือของเซียวเฉวียน
เซียวเฉวียนคงจะตามหาใกล้เข้ามาแล้ว
ควันที่ลอยพลุ่งพล่านจากไฟเผาเมื่อกี้ ทุกคนย่อมมองเห็นหมด
นั่นก็คือสถานที่ที่กองทัพหยุดพักและหมิงเจ๋อก็พักฟื้นที่นั่น
อยู่ๆ ก็มีไฟลุกไหม้ขึ้นมาในเวลานี้ ต้องมีเหตุฉุกเฉินอะไรสักอย่างเกิดขึ้นแน่นอน
หิมะที่ลงมาครั้งนี้ ฉินเฟิงเดาว่านักปราชญ์คงพบว่ามีคนตามรอยเขาและเจตนาจุดไฟเผาภูเขาเพื่อลบล้างร่องรอย
และคนที่ติดตามมานี้ ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นเซียวเฉวียนนั่นเอง
และฉินเฟิงมั่นใจว่า เซียวเฉวียนต้องการใช้หิมะมาดับไฟในขณะเดียวกันก็อาศัยหิมะเพื่อตามรอยกองทหารด้วย
นั่นไง ย่ำทีรอยเท้าก็ออกมาแล้วเป็นหย่อมๆ
แน่นอน สำหรับผู้ที่เคยฝึกวิทยายุทธ์ที่จะลบรอยเท้าของตนบนหิมะ มันก็ไม่ใช่เรื่องยาก
แต่นักปราชญ์และกองทหารก็มีเวลาจำกัดอยู่แล้ว หากต้องแบ่งเวลามาลบรอยเท้า การเดินทางของพวกเขาก็จะช้าลงไปอีก ทำให้เซียวเฉวียนตามทันได้ง่ายขึ้น
แต่ถ้าไม่ลบออกไป เซียวเฉวียนก็จะติดตามได้ง่ายเช่นกัน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง หิมะนี้ทำให้นักปราชญ์และกองทัพตกอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่ว่าพวกเขาจะเลือกทำแบบใด มีแต่จะเพิ่มโอกาสเปิดเผยที่อยู่ของพวกเขามากขึ้นทั้งนั้น
สิ่งที่ฉินเฟิงคิดได้ นักปราชญ์ก็คิดได้เช่นกัน
นักปราชญ์เคยเห็นเซียวเฉวียนใช้คำพูดดับไฟตอนที่เขาอยู่ในหุบเขาเมืองมู่อวิ๋น
ฉะนั้น พอหิมะตกมาครั้งนี้ นักปราชญ์ก็รู้ว่าต้องเป็นเซียวเฉวียนโผล่มาแล้ว
หากคนที่มาเป็นชิงหลง นักปราชญ์ยังพอจะหลอกชิงหลงได้ เพราะชิงหลงเป็นคนค่อนข้างจะซื่อและไม่สู้จะมีเล่ห์เหลี่ยม
ส่วนเซียวเฉวียนเป็นตรงกันข้ามกับชิงหลงโดยสิ้นเชิง
เซียวเฉวียนมีหัวคิดหลากหลาย มีเล่ห์กลมากมาย ไม่ใช่หลอกไม่ง่าย แต่คือไม่มีทางหลอกเขาได้เลย
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เซียวเฉวียนไม่ไปหลอกคนอื่นก็เป็นพระคุณแล้ว
มองดูรอยเท้าที่เป็นทอดๆ อยู่ด้านหลังเขา นักปราชญ์กลุ้มใจจนใบหน้าวัยชรานั้นย่นจนจะเป็นหน้าผิวมะระไปแล้ว
รอยเท้านี้ ถ้าไม่ลบ ไม่ได้ ถ้ามาลบ ก็ไม่ได้ เดี๋ยวเซียวเฉวียนจะตามเข้ามาทัน
ควรทำอย่างไรดี ?
หากนักปราชญ์อยู่คนเดียว ยังพอจะหลบเซียวเฉวียนได้ แต่เขายังพาหมิงเจ๋อถ่วงขาเขาอยู่ และก็มีกองทหารอยู่ข้างหน้าเขา
ไม่มีทางที่จะหลบหลีกได้เลย !
คิดไปคิดมา นักปราชญ์ตัดสินใจใช้ไพ่ตายของเขา ตั้งค่ายกลแบบที่จะทำให้เซียวเฉวียนเข้าไปแล้วไม่สามารถออกมาได้ กักเซียวเฉวียนไว้อยู่ในนั้น
เวลากระชั้นชิด นักปราชญ์คิดได้ก็ลงมือทำเลย
เขาหลับตาสนิท ปากพึมพำบางอย่าง แม้แต่หมิงเจ๋อที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาก็ยังฟังไม่รู้ว่าเขาท่องอะไร
ขณะที่เขากำลังพึมพำอยู่ พลางยกมือข้างหนึ่งชี้ไปทางตะวันออก ใต้ ตะวันตกและเหนือทั้งสี่ทิศ
เวลาผ่านไปประมาณครึ่งช่วงธูป เสียงของนักปราชญ์ชะงักลง มือก็หยุดเคลื่อนไหว
นักปราชญ์ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาลึก ๆ ของเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
ที่เขาจงหนานซาน นักปราชญ์เคยวางค่ายกลบนรูปวาดของเขา เกือบจะกักไป่ฉีและเหมิงเอ้าให้ตายในนั้นครั้งหนึ่งแล้ว
ครั้งนี้ พลังของนักปราชญ์ได้เพิ่มพูนมากกว่าเมื่อก่อนอีก พลังของค่ายกลนี้ย่อมแข็งแกร่งมากขึ้นตามธรรมชาติ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...
ไหนบอกรักลูกน้องหนักหนา เด็กมันอยากจะเข้าไปเป็นสนมก็จะปล่อยให้เข้าไปงั้นเหรอ ตัวเอกเรื่องนี้มันยังไง พิมพ์ด่านะ แต่ก็อ่าน 55555...