อ่านสรุป บทที่ 1431 น่าสงสัย จาก ซูเปอร์ลูกเขย โดย ชิงเฉิง
บทที่ บทที่ 1431 น่าสงสัย คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายนิยายจีนโบราณ ซูเปอร์ลูกเขย ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย ชิงเฉิง อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
มองเห็นสีหน้าของเหมิงเอ้าที่แสดงออกมา เจินฮ่าวรู้สึกตกใจ เหมิงเอ้าเป็นอะไรไป?
เซียวเฉวียนก็บอกแล้วว่าไม่เป็นอะไร และก็ไม่ได้ตำหนิแม้แต่คำเดียว ไม่เพียงแค่นั้น แต่ยังมีความอดทนพูดอธิบายต่อเหมิงเอ้า
ใช่แล้ว เจินฮ่าวก็เห็นอยู่ว่า คำพูดเหล่านั้นของเซียวเฉวียน พูดออกมาก็เพื่อปลอบใจเหมิงเอ้า
มีเจ้านายที่เข้าใจความรู้สึกของลูกน้องอย่างนี้ เป็นความโชคดีของเหมิงเอ้าอย่างมาก ถ้าเจินฮ่าวเป็นเหมิงเอ้า เขาก็คงจะมีความสุขไปนานแล้ว
แต่เหมิงเอ้ากลับมีสีหน้าท่าทางละอายมาก หรือเป็นเพราะคำพูดที่เซียวเฉวียนพูดแนะนำไปจะไม่ได้ผล?
ในฐานะที่เป็นผู้อารักขาของเซียวเฉวียนเหมือนกัน ดูท่าทางไป๋ฉี่ นิ่งสงบเยือกเย็น ดูไม่ออกว่ารู้สึกโกรธหรือดีใจ
รู้สึกได้ถึงสายตาของเจินฮ่าวที่มองดูอย่างประหลาดใจ เหมิงเอ้าถอนหายใจออกมา ระงับอารมณ์ไว้ และพูดว่า:“ใช่!ข้าน้อมรับคำสั่งสอนจากนายท่าน!”
สำหรับไป๋ฉี่และเหมิงเอ้าแล้ว เซียวเฉวียนเป็นเหมือนพ่อแม่แท้ๆของพวกเขา คำพูดของเขา พวกเขาจะทำตาม
มองเห็นดวงตาที่ชัดเจนเปิดเผยของเหมิงเอ้า เซียวเฉวียนก็มองออกว่า ผ่านเรื่องราวในครั้งนี้ เหมิงเอ้าได้เติบโตขึ้นแล้ว ถ้ามีโอกาส เขาก็จะผลักดันให้ดียิ่งขึ้น สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองเป็นอิสระเหมือนกับไป๋ฉี่
เห็นการสื่อสารระหว่างเจ้านายและลูกน้อง ทำให้เจินฮ่าวรู้สึกไม่เข้าใจบ้างอย่าง
แต่ว่า เจินฮ่าวไม่ใช่คนที่อยากรู้อยากเห็น เขาไม่ได้ซักถามเซียวเฉวียนว่าพูดคุยอะไรกับลูกน้องทั้งสองคน จับต้นชนปลายไม่ถูก
สรุปก็คือ ทั้งสองคนไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว
เจินฮ่าวมองไปรอบๆ ไม่เห็นแม้แต่เงาของนักปราชญ์และหมิงเจ๋อแล้ว ดังนั้นจึงถามขึ้นว่า :“พี่เซียว คนเลวสองคนนั้นไปไหนแล้วละ?”
นักปราชญ์และหมิงเจ๋อเป็นคนเจ้าเล่ห์โหดร้าย ก่อเรื่องทำร้ายเซียวเฉวียนมากมาย ในฐานะที่เป็นคนที่ชื่นชมเซียวเฉวียน เจินฮ่าวไม่อยากแม้แต่จะเรียกชื่อพวกเขาเลยด้วยซ้ำ เรียกแทนพวกเขาว่าคนเลวสองคนนั้น
ที่จริงแล้ว เรียกทั้งสองคนนั้นว่าคนเลวก็ถือว่าเกรงใจมากพอแล้ว ถ้าเจินฮ่าวไม่เห็นแก่หน้าตาเกียรติยศของตระกูลเจิน จะเรียกให้หยาบคายมากกว่านี้อีก
เซียวเฉวียนรู้ว่าที่เจินฮ่าวพูดถึงนั้นหมายถึงนักปราชญ์กับหมิงเจ๋อ เขาพูดว่า:“หนีไปแล้ว”
ห๊ะ?
ไม่ต้องพูดถึงหมิงเจ๋อที่เป็นคนพิการ แม้แต่ตัวนักปราชญ์เองก็ได้รับบาดเจ็บ ในสถานการณ์อย่างนี้ พวกเขายังสามารถหลบหนีจากวิชาเคลื่อนย้ายวิญญาณของเซียวเฉวียนได้?
มันไม่สมเหตุสมผลเลยใช่ไหม!
“อื้ม” เซียวเฉวียนยังคงมีสีหน้าสงบนิ่งเหมือนเดิม เขามองออกไปยังทะเลทรายที่กว้างขวางอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และพูดว่า “ดังนั้น น่าจะมีคนช่วยให้พวกเขาหนีรอดไปได้”
และคนที่ช่วยพวกเขาคนนี้ ในใจของเซียวเฉวียนก็คาดเดาไว้แล้ว น่าจะเป็นคนของเทือกเขาคุนหลุน
หรือจะพูดว่า นักปราชญ์สมรู้ร่วมคิดกับคนของเทือกเขาคุนหลุน เรื่องนี้ต้องเป็นอย่างนี้แน่นอน
มิฉะนั้น เรื่องอูฐพวกนั้นจะอธิบายว่าอย่างไร?
เมื่อรู้ว่านักปราชญ์หนีมาที่ทะเลทราย เซียวเฉวียนก็มั่นใจว่า จะต้องเป็นนักปราชญ์ที่จัดเตรียมอูฐพวกนั้นไว้อย่างแน่นอน
และครั้งนี้ นักปราชญ์หายตัวไปอย่างรวดเร็วอย่างนี้ ก็ยิ่งทำให้เซียวเฉวียนแน่ใจในความคิดมากยิ่งขึ้น
จะบอกว่าพวกเขาไม่ได้สมรู้ร่วมคิดกัน เซียวเฉวียนไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน
ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ เรื่องนี้ไม่เป็นผลดีต่อทั้งคุนหลุนและต้าเว่ย
คนของเทือกเขาคุนหลุน จับจ้องอยากจะได้ต้าเว่ยมาครอบครองนานแล้ว เรื่องนี้ ถึงแม้คนคุนหลุนไม่พูด ทุกคนบนโลกนี้ก็รู้กันหมด
ความทะเยอทะยานของคนคุนหลุนแสดงออกอย่างชัดเจน
แน่นอนคนฉลาดอย่างนักปราชญ์ก็รู้เรื่องนี้ดี
ถ้าเซียวเฉวียนคาดเดาไม่ผิด นักปราชญ์เอาต้าเว่ยมาเป็นเหยื่อล่อ เพื่อหลอกล่อให้คนของเทือกเขาคุนหลุนยอมร่วมมือกับเขา
ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ หลังจากนี้คนคุนหลุนก็จะต้องบุกรุกต้าเว่ย และเซียวเฉวียนก็ไม่มีทางนิ่งเฉยทนดูอยู่แน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น ถ้าเกิดการรบครั้งนี้ขึ้น คนที่จะได้รับความเดือดร้อนก็คือประชาชน
และตอนนี้ต้าเว่ยและคุนหลุนยังมีความสัมพันธ์ที่ดีเป็นมิตรต่อกัน ต่อไปก็จะไม่มีอีกแล้ว
ต้าเว่ยและคุนหลุนเป็นศัตรูต่อกัน คนต้าเว่ยและคนคุนหลุนก็จะเกิดการกระทบทั่งกันอย่างมากมาย
บนโลกนี้ จะมีเรื่องที่บังเอิญอย่างนี้จริงๆเหรอ?
ชิงหลงกำลังจะออกไป เขาก็คิดอะไรขึ้นมาได้ เขาหันกลับไปถามคนรับใช้:“อาจารย์ของข้าออกไปนานเท่าไรแล้ว?”
คนรับใช้คิดอยู่ครู่หนึ่ง และพูดว่า:“ออกไปซักพักหนึ่งแล้ว”
เพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต ชิงหลงไม่ได้สอบถามอะไรต่ออีก
อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น การสืบหาข้อมูลต้องทำอย่าลับๆ ค่อยๆเป็นค่อยๆไปอย่างช้าๆ
ดังนั้น สอบถามได้แค่นี้ ชิงหลงก็หันหลังกลับเดินออกไป
หลังจากนั้น ชิงหลงยังเดินออกไปได้ไม่ไกล เขาก็ได้ยินคนรับใช้พูดพึมพำเสียงเบาๆว่า:“ช่วงนี้ผู้อาวุโสเปลี่ยนไปเป็นคนละคน แต่ก่อนน้อยมากที่จะออกไปไหน หลายวันมานี้ออกไปข้างนอกทุกวัน”
และก็ไม่บอกว่าไปที่ไหน ไปทำอะไร
เราเป็นแค่คนรับใช้ ก็ไม่กล้าถาม
คำพูดของคนรับใช้ สำหรับชิงหลงแล้ว มีความสำคัญอย่างมาก
อย่างนี้ ชิงหลงก็จะเก็บข้อมูลบันทึกชื่อของฉางซงอยู่ในบัญชีรายชื่อผู้ต้องสงสัย
มีเป้าหมายแล้ว การทำอะไรก็จะง่ายขึ้น
ต่อไป ชิงหลงสั่งให้องครักษ์แอบตรวจสอบข้อมูลเบื้องลึกของฉางซง รวมไปถึงหลายวันมานี้เขาไปทำอะไรมาบ้าง
ในความทรงจำของชิงหลง ผู้อาวุโสทั้งสี่คนของคุนหลุน นิสัยของฉางซงอ่อนโยนมากที่สุด และหลายครั้งที่เขายืนอยู่ข้างชิงหลง
พูดจริงๆว่า ในบรรดาผู้อาวุโสทั้งสี่คน ชิงหลงกับฉางซงค่อนข้างสนิทกัน ตอนที่อวิ๋นเฮ่อยังอยู่ อวิ๋นเฮ่อค่อนข้างเข้มงวดมาก ชิงหลงต้องฟังคำสั่งของอวิ๋นเฮ่อ
หลายครั้งที่ ฉางซงทำเพื่อสนับสนุนชิงหลงและต่อต้านอวิ๋นเฮ่อ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ผล แต่เขาก็ยังคงต่อต้าน
สำหรับชิงหลงแล้วคนดีอย่างนี้ ถ้าเป็นจริงอย่างที่ชิงหลงคาดเดาไว้ แอบสร้างอำนาจมืด และยังสมรู้ร่วมคิดกับนักปราชญ์ งั้นความคิดจิตใจของเขาก็ลึกลับซับซ้อนอย่างมากจริงๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...