สรุปเนื้อหา บทที่ 1456 ส่งกลับพร้อมกัน – ซูเปอร์ลูกเขย โดย ชิงเฉิง
บท บทที่ 1456 ส่งกลับพร้อมกัน ของ ซูเปอร์ลูกเขย ในหมวดนิยายนิยายจีนโบราณ เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย ชิงเฉิง อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
คนโบราณนี้ทีจะหลอกใครขึ้นมา เซียวเฉวียนยอมยกนิ้วให้เลย !
เรื่องในอดีต เซียวเฉวียนไม่อยากจะพูดถึง
ตั้งแต่นี้ไป เขาต้องระวังสวีซูผิง คนตอแหลคนนี้ให้ดี
เซียวเฉวียนมองดูสวีซูผิงด้วยสายตาระวังตัว กลัวจริงๆ ว่าเผลอไปอาจถูกไอ้ตอแหลคนนี้หลอกเอาอีก
แต่สวีซูผิงยอมรับการจ้องมองของเซียวเฉวียนอย่างหน้าไม่แดงหายใจไม่ขัด ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง นิ่งจนเซียวเฉวียนแทบจะอดยื่นมือไปบีบคอเขาไม่ได้
ที่แท้คนตอแหลก็มีมาตั้งแต่ยุคโบราณ
คนตอแหลไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวคือตอแหลจนกลายเป็นเรื่องปกติ
สวีซูผิงก็ไม่ได้เปิดโปงเซียวเฉวียนต่อหน้านั้น เขาหันศีรษะแสดงรอยยิ้มที่ไม่ทำให้ใครเสียหาย "ใต้เท้าเซียวทำไมมองหน้าข้าอย่างนั้นล่ะ ?"
เซียวเฉวียนแอบค้อนเขา แกล้งไป แกล้งไปให้ดีก็แล้วกัน !
ทันใดนั้น เซียวเฉวียนทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและพูดว่า "ไม่มีอะไร เมื่อกี้ข้าเห็นมีอะไรบนหน้าของท่านสวี แต่ปรากฏว่าเซียวมองพลาดเอง"
ความหมายที่จะสื่อนั้นคือ ข้าอุตส่าห์คิดว่าเจ้าเป็นคนซื่อตรงสุขุม ที่แท้ข้ามองคนผิดแล้วนะเนี่ย
คนนี้คิดจะตอแหลขึ้นมานี้ ไร้ที่ติเชียว
สวีซูผิงดำน้ำไปตามคำพูดของเซียวเฉวียน ยิ้มคิกๆ และพูด "ข้ามาวังเข้าเฝ้า ต้องให้ความระมัดระวังกับหน้าตา ไม่มีอะไรผิดปกติอยู่แล้ว แต่ว่ามองพลาดก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา"
ความหมายก็คือ ข้าสวีซูผิงนิสัยปกติเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว เจ้าเข้าใจข้าไม่ดีพอ มาเข้าใจข้าผิด ก็เป็นเรื่องปกติ
คำพูดของทั้งสองคนทำให้องค์จักรพรรดิและอี้กุยสับสนเล็กน้อย โดยเฉพาะองค์จักรพรรดิซึ่งครุ่นคิดอยู่ในใจ เข้าวังมาเพื่อหารือเกี่ยวกับการหายตัวไปของไทเฮาแท้ๆ ทำไมว่าไปว่ามาลากไปถึงที่กิเลนและเซี่ยวเฟิงโน่นล่ะ ?
หากมีข้อสงสัยว่าสัตว์เทพเป็นตัวก่อเหตุ เซียวเฉวียนเป็นเจ้าของของกิเลนและเซี่ยวเฟิง พวกมันทำหรือไม่ได้ทำ เซียวเฉวียนคงไม่รู้ไม่ได้ จะต้องมาสงสัยอะไรอีก
ดังนั้น องค์องค์จักรพรรดิจึงไม่รู้ว่าเซียวเฉวียนกำลังคิดอะไรอยู่
องค์จักรพรรดิทรงกระแอมแล้วพูดว่า "ท่านราชครูหมายถึงอะไร"
ต่อการซักถามขององค์จักรพรรดิ เซียวเฉวียนเบือนหน้าหนีจากสวีซูผิงมาก่อน เขาเหลือบมององค์จักรพรรดิเรียบๆ แล้วพูดว่า "ครูสงสัยว่ามันเป็นฝีมือของสัตว์เทพ แต่เมื่อกี้เพิ่งคุยกับท่านสวี จึงตัดประเด็นนี้ไปแล้ว "
เสวียนอวี๋และเซียนชิวน้อยนั้น ยิ่งเป็นไปไม่ได้ พวกเขาเป็นแค่เด็กและเป็นเด็กที่เชื่อฟังคำสั่งของเซียวเฉวียน หากไม่มีคำแนะนำของเซียวเฉวียน ก็ไม่มีใครสามารถสั่งงานพวกเขาได้
พูดให้กระจ่าง คนทั้งหมดที่ตราจูเสินกล่าวมานั้น ล้วนเป็นไปไม่ได้เลย
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เรื่องนี้ได้สูญเสียเบาะแสไปอีกแล้ว
พวกเขาทั้งสี่พูดคุยหารือกันไปครึ่งค่อนวัน แต่ก็ไม่สามารถสรุปอะไรได้
ในที่สุดทั้งสี่คนแบกรับข้อสงสัยเต็มหัว จำต้องเลิกประชุมกันไป
พอได้ออกจากตำหนักฉางอัน อี้กุยก็ล้อมเข้ามาทันทีและพูดอย่างตื่นเต้น "ลุงปู่ เดินทางออกไปครั้งนี้ ได้อะไรมาบ้าง ? รีบๆ เล่าให้ข้าและใต้เท้าสวีฟังเร็วเข้า"
เซียวเฉวียนเหลือบมองที่สวีซูผิงอย่างมีเงื่อนงำ สวีซูผิงลดคิ้วตามสายตา ราวกับไม่ได้ยินสองคนคุยอะไร ตาจ้องไปตามทางที่เดินไป
ไอ้ตอแหลนี่ ทำไก๋เก่งจริงๆ
เซียวเฉวียนดุด่าสวีซูผิงในใจแล้วพูดว่า "ไม่ได้อะไรเลย กองทัพนักรบแท้และนักปราชญ์หายตัวกันไปหมด"
ประโยคนี้ดึงดูดความสนใจของสวีซูผิง สามารถหลุดจากการตามล่าของเซียวเฉวียนได้ นักปราชญ์นี้ฝีเท้าไม่เบานะโวย !
อี้กุยก็คิดว่าอย่างนั้น เขาประหลาดใจมาก และพูดว่า "ฮ่ะ ? ยังมีคนที่ลุงปู่ตามล่าไม่ทันงั้นหรือ"
พูดซะ...... เซียวเฉวียนถอนหายใจเบาๆ ภาระของการเป็นไอดอลนั้นหนักเกินไปจริงๆ
ในใจของแฟนๆ เหล่านี้ เซียวเฉวียนไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว เขาเป็นคนเหนือคนทำได้ทุกอย่าง ไม่มีใครสู้ได้ !
มนุษย์นี้ มีความสามารถโดดเด่นก็ลำบากเช่นกัน เมื่อท่านมีความสามารถโดดเด่น ผู้คนจะไม่มองท่านเป็นมนุษย์ แต่มองท่านเยี่ยงเทพเจ้า
พอเห็นความเหนื่อยหน่ายของเซียวเฉวียน สวีซูผิงก็อดหัวเราะไม่ได้ หลุดเสียง “คิก” อย่างขาดความเกรงใจหน่อยๆ
เซียวเฉวียนหันหัวและมองไปที่สวีซูผิงอย่างเฉยเมย จากนั้นหันไปหาอี้กุยและพูดว่า "เสี่ยวอี้ ต่อไปนี้อยู่ห่างๆ จากใต้เท้าสวีหน่อย ลุงปู่รู้สึกว่าเขาดูเพี้ยนๆ "
เด็กนิสัยซื่อตรงเช่นนี้อย่าโดนสวีซุผิงพาให้เสียนิสัย
อี้กุยก็ไม่ถามเพราะอะไร ก็พยักหน้าแล้วพูดว่า "ขอรับ รับทราบแล้ว"
ตอบตกลงอย่างเชื่อฟังแค่นี้หรือ ?
กองทัพเดินด้วยท้อง เรื่องกินเรื่องใหญ่
สวีซูผิงก็เป็นนักชิมเช่นกัน พอได้ยินว่าจะเลี้ยงมื้อใหญ่ ดวงตาของเขาเปล่งประกายและพูดว่า "หอปี้เซิ่งหรือ ?"
อาหารที่หอปี้เซิ่งนั้นอร่อยจริงๆ สวีซูผิงกินมันมาหลายครั้งแล้วและจะไม่มีวันลืมมัน
แต่เขานอกเหนือจากเงินเดือน เขาไม่มีแหล่งรายได้อื่น ถ้าเขาไปกินที่หอสองวันสามวันที มันก็ไม่ไหวสำหรับเขา
ดังนั้น เขาจึงได้แต่นานๆ ไปกินอย่างหรูหราสักครั้ง
นี่ก็ผ่านมาเดือนกว่าแล้วนับตั้งแต่ไปกินที่หอปี้เซิ่งมาครั้งล่าสุด
สวีซูผิงลิ้นปากชักอยากแล้วจริงๆ
เซียวเฉวียนเลิกคิ้วแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม "ไปกัน !"
พูดจบ ทั้งสามคนก็ดิ่งไปที่หอปี้เซิ่ง
ระหว่างทาง สวีซูผิงพูดอย่างเอาจริงเอาจัง "ท่านเซียว กองทัพนักรบแท้นั้นอยู่อย่างปกปิดมาโดยตลอด ทำไมถึงไปตกอยู่ในมือของนักปราชญ์ได้ล่ะ ?"
เรื่องนี้ สวีซูผิงคิดมานานแล้ว แต่ก็คิดไม่ตกสักที
เซียวเฉวียนพูดเรียบ ๆ "ใต้เท้าสวียังจำจางเคอได้ไหม ?"
จำได้ จำได้อย่างแน่นอน !
มากล่าวถึงจางเคอในเวลานี้ สวีซูผิงสมองก็ดีดป๊อก ดวงตาเปล่งประกาย "หรือว่าเขาเป็นคนทำหรือ ?"
เซียวเฉวียนพยักหน้าและกล่าวว่า "แม่นแล้ว"
ทันที เซียวเฉวียนก็เล่าเรื่องทั้งหมดของจางเคอ ซึ่งทำให้สวีซูผิงและอี้กุยต่างก็รู้สึกเคืองแค้น
ไอ้ตัวทำร้ายชาวมนุษย์ชั่วช้ารายนี้ ไม่คิดว่าจะไปสมรู้ร่วมคิดกับนักปราชญ์ แถมมอบกองทัพนักรบแท้ไปอยู่ในมือของคนภูมิภาคตะวันตกด้วย !
คนขายชาติ !
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...