ซูเปอร์ลูกเขย นิยาย บท 1459

เมื่อฟังเซียวเฉวียนเล่านิยายแล้ว ทำให้สวีซูผิงฟังจนถึงขั้นลืมจุดประสงค์ที่มาหอปี๋เซิ่งเลยทีเดียว

หลังจากผ่านไปประมาณธูปครึ่งก้าน ทั้งสองก็สงบสติอารมณ์ได้ในที่สุด

ในเวลานี้ ท้องของสวีซูผิงฟังก็ร้องด้วยความหิว เขาเพิ่งนึกได้ว่ามาที่หอปี๋เซิ่งนานแล้ว และเขาก็ยังไม่ได้สั่งอะไรเลย

ในความเป็นจริงแล้ว ตอนที่พวกเขาเข้ามาในหอปี๋เซิ่ง อี้กุยได้สั่งให้ห้องครัวเตรียมอาหารยอดนิยมของหอปี๋เซิ่งไว้แล้ว แต่ว่าพวกเขายังไม่ได้สั่งให้นำอาหารออกมา ลูกจ้างเลยยังไม่ได้นำอาหารมาให้พวกเขาเอง

เมื่อเห็นว่าคุยเรื่องใกล้จะเสร็จแล้ว อี้กุยจึงพูดกับลูกจ้างที่กำลังเดินมาว่า:"เอาอาหรขึ้นมาได้เลย"

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของสวีซูผิงก็สว่างขึ้นมา การออกมาทานอาหารกับคนรวยอย่างอี้กุยที่พิถีพิถันมาก การบริการก็เอาใจใส่มากจริงๆ

เมื่อกี้ก็กำลังคิดจะสั่งอาหาร แต่ตอนนี้ก็ให้เอาอาหารขึ้นมาได้แล้ว

ดูท่าที ตอนจากนี้ไปคงต้องไปมาหาสุขคนรวยสองคนนี้แล้ว ได้กินอาหารฟรีก็ยังดี

สวีซูผิงยิ้มอย่างสดใสและพูดอีกครั้งว่า:"ใต้เท้าเซียว ถ้าพูดอย่างนี้ท่านเก่งกว่าเจี้ยนจง?"

เซียวเฉวียนพูดอย่างใจเย็น:"สามารถพูดแบบนั้นได้ แต่คำพูดนี้ห้ามไปพูดต่อหน้าท่านผู้เฒ่า"

ใครๆก็อยากได้หน้าทั้งนั้น

ในตอนแรก เพื่อพิสูจน์ว่าใครเก่งกว่ากัน เจี้ยนจงยังยืนยันที่จะต่อสู้กับเซียวเฉวียน จนทำให้หลังคาจองจางจิ่นพังทลาย

การตู้สู้แบบไม่มีความหมายเซียวเฉวียนไม่ต้องการให้เกิดครั้งที่สองอีก

เราทุกคนต่างก็เป็นคนของตัวเอง ไม่สำคัญว่าใครจะได้ที่หนึ่ง

สวีซูผิงเข้าใจ และเขาให้คำสาบานว่า:"ใต้เท้าเซียวไว้ใจได้เลย หลังจากออกจากประตูนี้แล้ว ตัวข้าจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับสิ่งที่ท่านได้พูดในวันนี้เลยเลยสักคำ"

ครอบครองโดยผนึกจูเสิน นี่เป็นเรื่องร้ายแรงมาก

ใครจะกล้าพูดมันออกไป?

หากทำให้ผู้คนรู้เรื่องนี้ ผลัดเซียวเฉวียนไปอยู่จุดที่เสียงไม่ใช่หรือ?

คนที่ต้องการกำจัดเซียวเฉวียน ต้องใช้หัวข้อนี้สร้างความยุ่งยากใหญ่หลวง และบังคับเซียวเฉวียนไปสู่ทางตัน?

อีกอย่าง แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ ซึ่งเป็นความผิดโทษฐานลบหลู่อย่างสูง

สวีซูผิงจะไม่บอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้ว่าเขาจะถูกฆ่าก็ตาม

ต้าเว่ยยังคงต้องพึ่งพาเซียวเฉวียนในการพัฒนา ต้าเว่ยต้องการเซียวเฉวียน!

หลังจากอี้กุยได้ยินสิ่งนี้ก็พยักหน้าเพื่อแสดงความตั้งใจ:"ท่านปู่น้อยไว้ใจได้เลย อี้น้อยจะไม่มีวันพูดออกมาสักคำ"

หลังจากพูดจบ อี้กุยก็ยกมือขึ้นและสาบานอย่างจริงจัง:"ขอฟ้าดินเป็นพยาน ข้าอี้กุยขอสาบานว่า ข้าจะไม่หลุดปากพูดเหตุการณ์ในวันนี้แม้แต่คำเดียว หากข้าฝ่าฝืนคำสาบาน ขอให้ฟ้าผ่าและไม่ตายดี!"

การกระทำต้องรวดเร็ว เซียวเฉวียนห้ามไม่ทัน และคำสาบานของอี้กุยก็โพล่งออกมา

เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ สวีซูผิงก็ยกมือขึ้นด้วย อยากจะเลียนแบบคำสาบานของอี้กุย

เซียวเฉวียนจึงรีบห้ามเขาแล้วพูดว่า:"เอาล่ะ ไม่ต้องสาบาน ถ้าหากข้าไม่เชื่อใจพวกเจ้า ข้าก็คงไม่บอกเรื่องเหล่านี้กับพวกเจ้า"

ความภักดีของอี้กุยที่มีต่อเซียวเฉวียน เซียวเฉวียนรู้ ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์สามารถเป็นพยานได้

มาพูดถึงสวีซูผิง แม้ว่าเซียวเฉวียนจะไม่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเขามากนัก แต่สวีซูผิงก็ช่วยเหลือเซียวเฉวียนมามากโดยทั้งตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ

เมื่อเซียวเฉวียนอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด ก็เป็นมิตรอยู่แล้วโดยที่ไม่ไปตรวจสอบอะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้น สวีซูผิงยังเป็นคนแรกที่เป็นมิตรกับเซียวเฉวียน

เซียวเฉวียนจำความสัมพันธ์นี้ได้

ทันใดนั้น ลูกจ้างก็ทยอยเดินเข้ามานำอาหารมาเสิร์ฟ

พวกเขาทั้งสามก็เงียบไม่พูดอะไร ดวงตาของพวกเขาเพ่งไปที่อาหารที่มีกลิ่นหอม

พูดตามตรง เซียวเฉวียนไม่ได้มากินข้าวที่หอปี๋เซิ่งมานานแล้ว

ทันทีที่เขาได้กลิ่นหอมนี้ ผนึกจูเสินก็ตื่นเต้นมากกว่าเซียวเฉวียน:"รีบกินซะ เซียวเฉวียน มัวแต่มองดูอะไรอยู่?"

นักกินคนนี้..

และสวีซูผิงก็จ้องมองดูอาหารด้วยดวงตาเป็นประกาย โลภมากจนน้ำลายของเขาแทบจะไหลออกมา

อาหารเต็มโต๊ะแต่ล่ะอย่างไม่ซ้ำกัน ทุกอย่างดูน่าอร่อย น่ารับประทานจริงๆ

“ใต้เท้าเซียว ถ้างั้นตัวข้าจะไม่เกรงใจแล้ว”หลังจากพูดจบ เขาก็หยิบตะเกียบขึ้นมาและเริ่มหยิบอาหารแล้วใส่เข้าไปในปากของเขา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย