สรุปตอน บทที่ 1468 ได้คืบจะเอาศอก – จากเรื่อง ซูเปอร์ลูกเขย โดย ชิงเฉิง
ตอน บทที่ 1468 ได้คืบจะเอาศอก ของนิยายนิยายจีนโบราณเรื่องดัง ซูเปอร์ลูกเขย โดยนักเขียน ชิงเฉิง เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
ฮ่องเต้ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา เพียงถามออกมาว่า “มีผู้ใดคัดค้านหรือไม่?”
เสนาบดีมองหน้ากัน กล่าวออกมาพร้อมกันว่า “ไม่มีการคัดค้านพ่ะย่ะค่ะ”
ทุกอย่างอธิบายออกมาอย่างชัดเจน นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของเว่ยเป้ย พวกเขาจะคัดค้านได้อย่างไร?
แต่เมื่อคิดว่าจอหงวนผู้สง่างาม เลือกที่จะไม่เดินต่อไปในสายของราชสำนัก มันก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อย
เนื่องจากไม่มีการคัดค้าน ดังนั้นทุกอย่างจึงเป็นไปได้ด้วยดี
ฮ่องเต้กล่าวออกมาว่า “คำขอของอ๋องรอง ข้าอนุญาตแล้ว”
เรื่องที่เว่ยเป้ยต้องการเป็นอาจารย์ถูกตัดสินเช่นนี้
ในตอนนั้นทุกคนในห้องโถงต่างงุนงง และพวกเขาก็รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของการเดิมพัน
ด้านนอกเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ทั้งหมดก็เพื่อทำให้เว่ยเป้ยสามารถเข้าไปในชิงหยวนได้อย่างราบรื่น
พวกเขาอดไม่ได้ที่จะสับสน เหตุใดเซียวเฉวียนถึงต้องทำเรื่องอะไรมากมายขนาดนี้เพียงเพราะต้องการสร้างละครเช่นนี้ขึ้น?
ความคิดของเซียวเฉวียนยากที่จะหยั่งถึงขึ้นไปทุกวัน
เมื่อได้รับความเห็นชอบจากฮ่องเต้ ความสุขของเว่ยเป้ยก็เปี่ยมล้นขึ้นมาทันใด
หลังจากขอบคุณ เขาก็เดินทางออกจากพระราชวัง
ตอนแรกที่เซียวเฉวียนเข้าพระราชวังวันนี้ก็เพราะเรื่องดังกล่าว เมื่อบรรลุเป้าหมายไปแล้ว เขาเองก็เดินทางกลับพร้อมกับเว่ยเป้ย
หลังจากเว่ยเป้ยมาถึงจวนเจียนกั๋วได้ไม่นาน ก็มีพระราชกฤษฎีกาลงมา สั่งให้เว่ยเป้ยเป็นอาจารย์ผู้ชี้นำในชิงหยวน
พระราชกฤษฎีกานี้ทำให้ทั่วทั้งเมืองหลวงต้องสั่นสะเทือน!
อะไรนะ!
นี่มันเรื่องอะไรกัน?
เกิดอะไรขึ้นกับสมองของเว่ยเป้ย?
จอหงวนผู้สง่างาม ขุนนางในราชสำนักที่สูงส่ง เขากลับละทิ้งเส้นทางเช่นนั้นไป!
นี่เป็นข่าวที่ทำให้ราษฎรเกิดความคิดที่แปลกใหม่ ทำให้พวกเขารู้สึกสงสัยในชีวิต
เมื่อพระราชกฤษฎีกาถูกประกาศออกมา เสียงเรียกร้องที่ขัดขวางการเป็นอาจารย์ของเว่ยเป้ยก็ถูกขจัดออกไป
แต่สถานที่เดิมพันนั้นกลับเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
บางคนมีความสุข บางคนเศร้า และคนที่เศร้าก็เสียใจแทบตาย
พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้เป็นเหมือนกับโทษประหารสำหรับคนที่เดิมพันว่าเว่ยเป้ยจะต้องเข้าไปเป็นขุนนางในราชสำนัก
และราคาที่ต้องจ่ายในการเดิมพันครั้งนี้ก็คือ 1 ต่อ 10
ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ไม่รู้เลยว่ามีคนต้องล้มละลายไปมากน้อยเพียงใด
บางคนที่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ก็เริ่มหาข้ออ้าง บอกว่าการเดิมพันครั้งนี้ถือเป็นโมฆะ จะมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้เกิดขึ้นมาบนโลกได้อย่างไร การเดิมพันเพิ่งจะเริ่มได้ไม่นาน พระราชกฤษฎีกาก็ประกาศออกมาแล้ว
จะต้องมีคนจัดฉากเรื่องราวทั้งหมดไว้ก่อนเป็นแน่ คิดจะมาเอาเงินจากพวกเขา วางกับดักเพื่อหลอกลวงพวกเขา
เซียวเฉวียนคาดเดาไว้ว่า หากพระราชกฤษฎีกาถูกประกาศออกมา จะต้องมีคนที่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ในการเดิมพันครั้งนี้เป็นแน่ และทุกอย่างก็จะอยู่เหนือการควบคุม
ดังนั้นหลังจากที่เขาออกมาจากพระราชวัง เขาก็ตรงไปยังบ่อนการพนัน
และมันก็เป็นอย่างที่เขาคาดเอาไว้ ในตอนที่เขามาถึงก็มีคนเริ่มมาโวยวายที่บ่อนการพนันแล้ว
เซียวเฉวียนจ้องมองคนที่มาสร้างความวุ่นวายเหล่านั้นด้วยสายตาอันเย็นชา ในใจคิดว่า คนพวกนี้ฉลาดยิ่งนัก แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ พวกเขาไม่รู้จักแพ้ให้เป็น
การเดิมพันครั้งนี้มีทางเลือกให้เดิมพันเพียงสองทาง หากเขาเดิมพันผิด เขาก็พูดได้แค่ว่าเขาดวงไม่ดี พวกเขาจะมาโทษเซียวเฉวียนได้อย่างไร?
แม้ว่าจะมีการเล่นตุกติกเกิดขึ้นเล็กน้อยในการเดิมพัน แต่ก็ไม่ได้หลอกลวงพวกเขาอย่างแน่นอน
เป็นเรื่องปกติที่จะมีความผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ เกิดขึ้น
แต่พวกเขาทั้งหมดกลับวางเดิมพันตามมู่จิ่นอย่างจริงจัง
พวกเขาเองก็ไม่ยอมใช้หัวคิด หากเซียวเฉวียนไม่มีความมั่นใจว่าจะเอาชนะการเดิมพันครั้งนี้ได้ เขาจะทำการเดิมพันเช่นนี้งั้นหรือ?
พวกเขาต่างหากที่เป็นฝ่ายยึดติดกับความคิดของตัวเอง และสุดท้ายก็ต้องมาตายเพราะความคิดของพวกเขาเอง
มันเป็นความผิดพลาดของพวกเขาที่ตัดสินด้วยวิสัยทัศน์ของตนเอง
และเป็นเพราะความผิดนี้ จึงทำให้พวกเขาทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แม้ว่ามู่จิ่นจะเข้าใจวิธีการของเซียวเฉวียน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันก็เกินความคาดหมายของมู่จิ่นไปจริง ๆ
เซียวเฉวียนใช้เสียงที่มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่ได้ยินในการพูดออกมา “ข้ามีเงินอยู่แล้ว เจ้าอย่าลืมว่ายังมีเหมืองทองอยู่”
เงินที่ชดใช้ให้กับผู้ที่เป็นฝ่ายชนะการเดิมพันนั้นเป็นเงินจำนวนเล็กน้อย สำหรับเซียวเฉวียนแล้ว ขนหน้าแข้งยังไม่ร่วงเลยด้วยซ้ำ
แน่นอนว่ามู่จิ่นไม่มีทางลืมเรื่องนี้ เขาเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหมืองทองคำ เขาจะลืมมันไปได้อย่างไร
เมื่อพูดถึงเหมืองทองคำ มู่จิ่นก็อดนึกถึงมู่เวยขึ้นมาไม่ได้
เป็นเวลาหลายเดือนและที่พี่ชายและน้องสาวต้องแยกจากกัน มู่จิ่นเขียนจดหมายไปหามู่เวยตั้งมากมาย แต่กลับไม่ได้รับการตอบกลับมาแม้แต่ฉบับเดียว
เขาไม่ได้รับข่าวคราวของมู่เวย ไม่รู้ว่านางเป็นอย่างไรบ้าง
เมื่อนึกถึงน้องสาวที่มีชีวิตชีวาผู้นี้ ใบหน้าของมู่จิ่นก็ดูอ่อนโยนขึ้นมาทันใด
แน่นอนว่าเซียวเฉวียนเข้าใจเรื่องนี้เป็นธรรมชาติ เขาพูดออกมาว่า “เจ้าคิดถึงศิษย์น้องอย่างนั้นหรือ?”
มู่จิ่นพยักหน้า “ครั้งที่แล้วที่บอกลากันในทะเลทราย ข้าก็ไม่ได้รับข่าวคราวของนางอีกเลย ไม่รู้ว่านางอยู่ที่ใด ไม่รู้ว่ายังสบายดีหรือไม่”
เซียวเฉวียนตบไหล่ของมู่จิ่น “ไม่ต้องห่วง นางเป็นคนที่มีชีวิตชีวาขนาดนั้น จะต้องไม่เป็นไรแน่ ๆ เดี๋ยวข้าจะเป็นคนช่วยเจ้าสืบหาเรื่องของนางเอง”
มู่จิ่นตอบกลับ “ขอบใจเจ้ามาก”
เซียวเฉวียนยิ้มออกมาเล็กน้อย “ไม่ต้องเกรงใจ”
และในตอนนั้นเอง เสียงของชิงหลงที่อยู่ห่างไกลหลายพันลี้ก็ดังขึ้นมา “ใต้เท้าเซียว จากรายงานของสายลับแห่งเทือกเขาคุนหลุน ในเมืองชิงซานและเมืองหยางกวนแห่งซินเจียง พวกเขาได้พบร่องรอยของนักปราชญ์และสาวกของสำนักหมิงเซียนจำนวนไม่น้อย”
แต่ร่องรอยของพวกเขานั้นไม่ชัดเจน สายลับจึงไม่อาจตามไปได้
เซียวเฉวียนได้ยินเช่นนั้นก็ตอบกลับไปว่า “อ่า เข้าใจแล้ว มีอะไรก็ติดต่อมาหาข้าได้ตลอดเวลา”
ชิงหลงตอบกลับมา “อื้อ!”
ดูเหมือนว่านักปราชญ์คงจะจัดเตรียมเสบียงเหล่านี้ไว้ในเมืองหยางกวนและเมืองชิงซาน
ไม่เป็นไร ปล่อยให้เขาเตรียมการให้ดี รอให้เขาใกล้เตรียมตัวเสร็จ เซียวเฉวียนค่อยไปแย่งชิงเสบียงจากเขาภายในครั้งเดียว
เมื่อนึกถึงสภาพที่เต็มไปด้วยความโกรธของนักปราชญ์ เซียวเฉวียนก็รู้สึกดีอย่างอธิบายไม่ถูก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...