สรุปตอน บทที่ 1501 รู้ถอยยามลำบาก – จากเรื่อง ซูเปอร์ลูกเขย โดย ชิงเฉิง
ตอน บทที่ 1501 รู้ถอยยามลำบาก ของนิยายนิยายจีนโบราณเรื่องดัง ซูเปอร์ลูกเขย โดยนักเขียน ชิงเฉิง เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
เซียวเฉวียนอนุญาตให้เสวียนอวี๋กลับจวนเซียวได้ เสวียนอวี๋จึงอดดีใจไม่ได้ ถึงขั้นเลิกคิ้วแย้มยิ้ม “ได้สิ”
ค่ายกลสำหรับเสวียนอวี๋ง่ายเหมือนกับโปรยเม็ดทราย
สาเหตุที่เสวียนอวี๋คิดเช่นนี้ เพราะเขาอยู่ข้างกายนักปราชญ์มาตั้งแต่เด็ก ซึ่งนักปราชญ์ตั้งใจจะฝึกฝนนักปราชญ์ให้กลายเป็นผู้ช่วยที่เก่งรอบด้าน
บังเอิญที่เสวียนอวี๋รู้สึกสนุกและสนใจกับการสร้างค่ายกล ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เห็นกันบ่อย ๆ เขาเข้าใจค่ายกลเป็นอย่างดี
กระทั่งนักปราชญ์นำวิธีการสร้างค่ายกลที่เขารู้จักสอนเสวียนอวี๋ ซึ่งเสวียนอวี๋รู้สึกสนุกไปด้วย เสวียนอวี๋อยากสร้างค่ายกลรูปแบบใหม่และท้าทาย แต่ทว่านักปราชญ์รู้จักค่ายกลไม่กี่วิธีเท่านั้น ไม่สามารถสอนรูปแบบใหม่กับเสวียนอวี๋ได้
ดังนั้นเสวียนอวี๋จึงคิดหาทางเอง
เขาเข้าไปหาตำราโบราณเกี่ยวกับค่ายกลในหอสมุดของสำนักหมิงเซียน
ซึ่งหอสมุดของสำนักหมิงเซียนมีตำราที่เก็บสะสมไว้อย่างดีหลากหลายประเภท คนทั่วไปเข้าไปไม่ได้
คนที่เข้าได้ นอกจากอดีตเจ้าสำนักแล้ว ก็ยังมีบุคคลที่อดีตเจ้าสำนักให้ความเชื่อใจและให้ความสำคัญมากอีกไม่น้อย
ยกตัวอย่างเช่นเสวียนอวี๋ มู่จิ่นและมู่เวย
คาดไม่ถึงว่เสวียนอวี๋จะเจอตำราโบราณเล่มหนึ่งที่ดูที่ไม่สะดุดตาในมุมของชั้นหนังสือ
ตำราโบราณเล่มนี้เดิมทีเป็นตำราของเขาคุนหลุน แม้แต่เทคนิคทางการแพทย์ที่บันทึกไว้ในตำราก็ถูกเก็บไว้ในกองตำราสะสมบนเทือกเขาคุนหลน
คนของสำหนักหมิงเซียนอยากได้ตำราเทือกเขาคุนหลุนมาก อยากได้เทคนิคทางการแพทย์ที่บันทึกไว้ในตำรา ดังนั้นจึงคิดหาทางใช้กลอุบาย แอบนำตำราโบราณที่พวกเขาถูกใจออกมาจากเทือกเขาคุนหลุน จากนั้นก็ซ่อนมันไว้ในกองตำราสะสมของตัวเอง เก็บไว้คนเดียว
เพื่อไม่ให้คนอื่นรู้พฤติกรรมไร้ยางอายของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงคิดหาทางลบล้างความผิดของพวกเขา
ส่วนวิธีการลบล้างความผิดของพวกเขาคือหาคนที่รู้ภาษาของชาวเทือกเขาคุนหลุนกับภาษาซินเจียง แล้วอธิบายเนื้อหาในตำราโบราณที่พวกเขาแอบขโมยมาจากเทือกเขาคุนหลุนให้อีกฝ่ายเข้าใจ
จากนั้นก็ปล่อยให้คนอื่นจัดเรียง เขียนและคัดลอก
แบบนี้ตำราโบราณดั้งเดิมก็จะไม่ได้รับความเสียหาย แต่ถูกเก็บอยู่ในมุมที่ไม่มีใครเห็นบนชั้นหนังสือ
บังเอิญว่าเสวียนอวี๋อ่านตำราโบราณที่เขียนด้วยภาษาคุนหลุนมาก่อน
แม้ว่าเสวียนอวี๋จะไม่ได้รู้จักตัวอักษรของคุนหลุนมากมายนัก แต่ค่ายกลอุบายรูปแบบในสมัยโบราณจำเป็นต้องมีแผ่นภาพประกอบการอธิบายที่ชัดเจน เสวียนอวี๋สามารถเข้าใจได้ และจากประสบการณ์โดยตรงของเขา ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่รู้หนังสือก็ยังสามารถเข้าใจค่ายกลในตำราโบราณได้ และเข้าใจอย่างถ่องแท้ด้วย
แต่เรื่องเหล่านี้เสวียนอวี๋ไม่ได้บอกนักปราชญ์
เขาคิดว่าในอนาคตหากจำเป็นต้องใช้ค่ายกล เสวียนอวี๋อาจจะทำให้นักปราชญ์ประหลาดใจและดีใจไปพร้อมกัน
เขาอยากให้นักปราชญ์ประหลาดใจ
เพียงแต่ในเวลาต่อมากลับไม่มีที่สำหรับสร้างค่ายกล เสวียนอวี๋จึงค่อย ๆ ลืมเลือนเรื่องตำราค่ายกลที่แอบขโมยออกมาจากหอตำราไป
พูดอีกนัย จนถึงตอนนี้ นักปราชญ์ก็ยังไม่รู้ว่าเสวียนอวี๋ไม่เพียงแต่จะเข้าใจค่ายกลโบราณของคุนหลุนแล้ว ยังลึกซึ้งอีกด้วย
ไม่เพียงแค่นี้ เขายังคิดว่าใต้หล้านี้ ไม่มีใครเก่งเรื่องค่ายกลสงครามมากกว่าเขา
เขาคิดว่าตราบใดที่เขาฉีกหน้ากระดาษที่เต็มไปด้วยตัวอักษรกลับกลอกของชาวซินเจียงเหล่านั้นได้ ก็ไม่มีใครรู้จักค่ายกลรูปแบบนี้แล้ว เขาเป็นคนเดียวที่เข้าใจโลกของค่ายกล
คาดไม่ถึง ไม่เพียงแต่จะมีคนหักหน้าแล้ว หนำซ้ำคนที่ฉีกหน้าเขายังเป็นลูกศิษย์ที่เขาพร่ำสอนมากับมืออีกด้วย !
เขากลัวว่าจะเป็นแค่ความฝัน เสวียนอวี๋จึงรีบไปหาตำราโบราณที่เกี่ยวข้องกับค่ายกลที่หอสมุดก่อนหน้านักปราชญ์
คาดไม่ถึงว่าเล่มที่เสวียนอวี๋เจอจะยังเป็นต้นฉบับ ซึ่งเขาได้ทำการศึกษาเนื้อหาเกี่ยวกับค่ายกลหลายรูปแบบของเทือกเขาคุนหลุนจากภาพต้นฉบับอย่างถ่องแท้
หากนักปราชญ์รู้เข้า ไม่แน่นักปราชญ์อาจจะถูกโกรธลูกศิษย์คนนี้ก็ได้
เซียวเฉวียนได้ยิน ก็เหยียดยิ้ม และเอ่ยว่า “ก็ดีนะสิ”
ต่อไปหากเซียวเฉวียนเผชิญหน้ากับนักปราชญ์อีกครั้ง กระทั่งนักปราชญ์ใช้ค่ายกลอีกครั้ง มีการช่วยเหลือจากเสวียนอวี๋ที่ยิ่งกว่าศิษย์ล้างครู เซียวเฉวียนคงเหมือนเสือติดปีก ฆ่านักปราชญ์โดยที่ไม่ทันตั้งตัวเป็นแน่!
ดูท่าต่อไปการหาตัวนักปราชญ์ เซียวเฉวียนต้องพาเสวียนอวี๋ไปด้วย คงสร้างความประหลาดใจให้นักปราชญ์ไม่น้อยแน่
ฮ่า ๆ !
สามถึงห้าปี จะว่านานก็ไม่นาน จะว่าสั้นก็ไม่สั้น
บอกให้เซียวเฉวียนรู้ เพราะอยากให้เซียวเฉวียนเตรียมใจ รู้ถอยยามลำบาก
เขาบอกเองว่าไม่เรียน นั้นคือทางที่ดีที่สุด
ถึงอย่างไรเสวียนอวี๋ก็ต้องใช้เวลาสอนสามถึงห้าปี เขารู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ยากและไร้อิสระ เขาไม่ได้มีความอดทนพอจะสอนเซียวเฉวียนสามถึงห้าปี
พูดง่าย ๆ เสวียนอวี๋พยายามหลีกเลี่ยงการสอนที่สุด
แต่เซียวเฉวียนเอ่ยปากขอเรียน เสวียนอวี๋คงต้องสอนอย่างฝืนใจ
ใครใช้ให้เซียวเฉวียนเป็นเจ้านายเขาเล่า
ถ้าเป็นคนอื่น เสวียนอวี๋ไม่ยอมสอนแน่
เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของเสวียนอวี๋ เซียวเฉวียนก็เหยียดยิ้ม “ข้าแค่ถามเท่านั้น”
อย่าว่าแต่เสวียนอวี๋อึดอัดเลย เขาเต็มใจสอนเซียวเฉวียน เซียวเฉวียนไม่อยากเรียน
ทำไม?
ข้างกายเขามียอดฝีมือด้านค่ายกลอยู่ทั้งคน ทำไมต้องเสียเวลาเรียนนานขนาดนั้น?
ดั่งคำกล่าวที่ว่า รู้ทั้งรู้ว่าในบ้านของตัวเองมีมันเทศอยู่แล้ว ก็ยังไปถามหาไม่ก็หาซื้อจากคนอื่นอีก?
สำหรับการถอยหมื่นก้าว เสวียนอวี๋ไม่เข้าใจค่ายกล เซียวเฉวียนก็ยังไม่อยากเรียน
ก่อนอื่นเลยเซียวเฉวียนคิดว่าวิธีใช้ค่ายกลไม่ยาก เมื่อสิ้นบุญนักปราชญ์ ก็ไม่มีใครใช้ค่ายกลอีก
อีกอย่าง เซียวเฉวียนมีอาวุธที่ทันสมัย เป็นเรื่องที่ขี้ปะติ๋ว ทำไมเซียวเฉวียนต้องยุ่งยากเสียเวลาเรียนรู้ด้วย?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...