บทที่ 1502 เด็กตะกละสองคน – ตอนที่ต้องอ่านของ ซูเปอร์ลูกเขย
ตอนนี้ของ ซูเปอร์ลูกเขย โดย ชิงเฉิง ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายนิยายจีนโบราณทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 1502 เด็กตะกละสองคน จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
จะว่าไปแล้ว เซียวเฉวียนก็ไม่ได้อยากศึกษาวิธีค่ายกลสักเท่าไหร่
ทันทีที่เสวียนอวี๋ได้ยิน ใบหน้าของเขาก็เหยียดยิ้ม พลางเอ่ย “ใช่ มีเสวียนอวี๋อยู่ นายท่านยังต้องศึกษาอะไรอีก?”
ขอแค่เซียวเฉวียนออกคำสั่ง เสวียนอวี๋ก็พร้อมทำโดยไม่พูดไม่จา ทำไมเซียวเฉวียนต้องศึกษาด้วยตัวเอง
เซียวเฉวียนไม่ศึกษา ใคร ๆ ต่างดีอกดีใจ
นัยน์ตาของเซียวเฉวียนแฝงด้วยรอยยิ้มราบเรียบ “ใช่ เสวียนอวี๋พูดถูก มีเสวียนอวี๋อยู่ ค่ายกลก็แค่เรื่องปะติ๋ว”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ เสวียนอวี๋ก็ดีใจ เขากำลังชื่นชมเซียวเฉวียน
ดังนั้นเขาจึงเหยียดยิ้มกว้าง “นายท่าน มีรางวัลไหม?”
ตั้งแต่มาถึงต้าเว่ย ได้กินอาหารของหอปี๋เซิ่ง เซียวเฉวียนก็รักในรสชาติของหอปี๋เซิ่งอยู่ลึก ๆ
คนที่ชอบอาหารรสชาติของหอปี๋เซิ่งเหมือนเสวียนอวี๋ก็คือเว่ยเป่ย
เนื่องจากเหตุนี้ ตั้งแต่ตัวเองติดตามเว่ยเป่ยไปยังจวนเจียนกั๋ว ทั้งสองคนจึงได้รับประทานอาหารวันละสามมื้อ บ้างก็คดห่อกลับบ้าน บ้างก็กินที่หอปี๋เซิ่ง”
ก่อนหน้านั้นเว่ยเป้ยแบกเว่ยเชียนชิวมาตลอด ถึงขั้นส่งคนออกไปสั่งอาหารจากหอปี๋เซิ่งมาให้
ตอนนี้เว่ยเชียนชิวตายไปแล้ว เขาแสดงความป่าเถื่อนได้อย่างเปิดเผย เขาไม่มีทางพลาดโอกาสนี้ไปแน่นอน
เมื่อรู้ว่าเสวียนอวี๋ชื่นชอบอาหารของหอปี๋เซิ่ง ทั้งสองคนก็เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย กลายเป็นแฟนคลับตัวยงของหอปี๋เซิ่ง
อาหารของหอปี๋เซิ่งเลี้ยงปากของสองคนนี้ได้ดีจริง ๆ
หลังจากกลับมาถึงจวนเซียว เสวียนอวี๋มีความปรารถนาเล็ก ๆ หวังว่าตัวเองจะได้กินอาหารเลิศรสของปี๋เซิ่งทุกวันเหมือนกับจวนเจียนกั๋ว
กล่าวจบ เสวียนอวี๋ชำเลืองมองเซียวเฉวียนด้วยสายตาเปล่งประกาย
นั้นเป็นประกายที่แวววาวเป็นพิเศษ
เซียวเฉวียนที่ได้ยินเสียงในใจของเสวียนอวี๋ก็อดขบขันไม่ได้ เสวียนอวี๋เด็กตะกละเอ๊ย
ปัญหาเรื่องอาหารการกินได้รับการแก้ไขแล้วไม่มีปัญหา
แต่ถึงอย่างไรเซียวเฉวียนก็ไม่ได้เปิดเผยความคิดนี้กับเสวียนอวี๋ จึงเสแสร้งแกล้งเอ่ยด้วยความอยากรู้ว่า “เจ้าอยากได้รางวัลอะไร?”
เสวียนอวี๋รอประโยคนั้นของเซียวเฉวียน
เขากลัวว่าเซียวเฉวียนจะปฏิเสธ นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น จากนั้นก็เอ่ยด้วยสีหน้าประจบประแจงว่า “นายท่าน รางวัลที่เสวียนอวี๋ปรารถนาไม่ยาก เสวียนอวี๋อปรารถนาจะได้กินอาหารของหอปี๋เซิ่งทุกวัน”
เซียวเฉวียนแกล้งทำเป็นมองเสวียนอวี๋ด้วยสีหน้านิ่งสงบ ไม่พูดไม่จา
เมื่อเห็นท่าทางนี้ เสวียนอวี๋คิดว่าเซียวเฉวียนจะปฏิเสธ จึงเอ่ยเสริมทันทีว่า “ม่ต้องสามมื้อก็ได้ ขอแค่วันละมือก็พอ”
ความปรารถนานี้ไม่มากเกินไปหรอก?
กล่าวจบ นัยน์ตาของเสวียนอวี๋ก็มองเซียวเฉวียนอย่างแวววาว
เซียวเฉวียนคลี่ยิ้มบาง ๆ “ไม่มีปัญหา เจ้าอยากกินก็ไปที่หอปี๋เซิ่งได้เลย”
ความหมายก็คือ ตราบใดที่เสวียนอวี๋อยากกิน ก็กินได้เท่าที่ต้องการ
ประโยคนี้ทำให้เสวียนอวี๋ดีใจมาก เขาเลิกคิ้วสูงแย้มยิ้ม “คิ ๆ นายท่านช่างใจดียิ่งนัก”
เจินฮ่าวที่เพิ่งกลับมาจาก สถานศึกษาชิงหยวนได้ยินคำพูดสองคำหลังของเสวียนอวี๋พอดี เจินฮ่าวมองเสวียนอวี๋ด้วยสีหน้าอยากรู้ ครั้งเห็นตุ๊กตาน่ารักอย่างเสวียนอวี๋ ใบหน้าเรียบเฉยของเจิ่นฮ่าวก็อ่อนโยนลงไม่น้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “นี่มันเด็กน้อยของผู้ใด? ดูน่ารักเชียว”
เสวียนอวี๋สนใจแค่หมากรุกที่กำลังเล่นกับเซียวเฉวียน และนึกถึงแต่อาหารเลิศรสของหอปี๋เซิ่ง จึงไม่สังเกตเห็นถึงการกลับมาของเจินฮ่าว
เสวียนอวี๋ไม่ชอบให้คนอื่นชมเขาว่าน่ารัก เพราะเขารู้สึกว่าคำเหล่านี้ควรใช้ชมสตรี แต่เขาเป็นชายฉกรรจ์ ชายฉกรรจ์ตัวน้อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้ยินใครบางคนชมเขาว่าน่ารักด้วยสายตาเหน็บแนม พอฟังแล้วรู้สึกไม่เข้าหูอย่างบอกไม่ถูก
ใบหน้าของเสวียนอวี๋ฉายแววโกรธเคืองในเสี้ยววินาที เขาหันไปมองว่าใครกันแน่ที่เยาะเย้ยเขา
เสวียนอวี๋ที่อยากเห็นเจินฮ่าว เสี้ยววินาทีที่เห็นเจินฮ่าว ก็อดตะลึงไม่ได้
สายตาของเจ้าจ้องเขม็งไปทางเจินฮ่าว ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าชื่นชมอย่างอดไม่ได้ “พี่สาว ช่างงดงามยิ่งนัก”
หากเขาเป็นผู้หญิง เสวียนอวี๋ต้องเรียกเขาว่าพี่สาว แต่เขาเป็นผู้ชาย เขากลับไม่คู่ควรกับคำว่าพี่ชาย คู่ควรกับคำว่าท่านอา
ได้ เจินฮ่าวไม่อยากเสวนากับแม่ตุ๊กตาน้อยคนนี้อีก เขายิ้มบาง ๆ และเอ่ยว่า “อื้อ เด็กดี”
กล่าวจบ เจินฮ่าวก็อยากจะยกมือลูบหัวของเสวียนอวี๋ คาดไม่ถึงส่าเสวียนอวี๋จะหลบเลี่ยงไปไกล ไม่อยากให้เจินฮ่าวสัมผัส
หากเจินฮ่าวเป็นพี่สาวแสนสวย ให้นางสัมผัส เสวียนอวี๋คงไม่รู้สึกอะไร
แต่เจินฮ่าวเป็นผู้ชาย แม้ว่าเสวียนอวี๋จะยังเด็ก แต่ก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน ผู้ชายกับผู้ชายจะสัมผัสกันได้อย่างไร
เจินฮ่าวหยุดมือกลางอากาศ ก่อนจะเก็บกลับมาด้วยท่าทีเก้ ๆ กัง ๆ
แม้ว่าเขาจะไม่มีความสามารถอ่านใจคนได้ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนในยุทธภพ เจอคนมาหลายรูปแบบ แม้ว่าการเดาความคิดในใจคนจะไม่ได้เต็มร้อย แต่ก็ได้สักเจ็ดแปดส่วนก็ยังดี
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงความคิดของเด็กน้อยอย่างเสวียนอวี๋เลย
ความคิดของเด็กน้อยนั้นบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ทุกอย่างแสดงออกทางสีหน้า เจินฮ่าวมองออกตั้งแต่แวบแรก
คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเด็กน้อยที่ตัวเล็กเช่นนี้จะเก็บอาการเก่ง
เก็บอาการคำนี้ เป็นคำที่เจินฮ่าวเรียนรู้มาจากเซียวเฉวียน
เซียวเฉวียนบอกว่าความหมายของการเก็บอาการคือการให้ความสำคัญกับสีหน้า คิดว่าคนที่หน้าตาสะสวยจะต้องเป็นคนที่ไร้เดียงสา
เดิมทีการเก็บอาการเป็นแค่สีหน้าขอบคนที่กำลังหลงใหล เมื่อเห็นคนสวยก็พอจะถูไถไปก่อนได้
แนวคิดด้านความรักของคนทั้งสอง ซึ่งเป็นความรักที่เข้ากันไม่ได้
คนแบบนี้การเจอผู้ชายหล่อและผู้หญิงสวยคือหน้าที่ แต่การค้นหาสาวสวยคือเป้าหมายหลัก
ในตอนนี้เองเซียวเฉวียนก็เอ่ยขึ้นว่า “เสวียนอวี๋ นี่คือท่านอาเจินฮ่าว”
หลังจากแนะนำให้ทั้งสองฝ่ายรู้จักกันแล้ว เซียวเฉวียนก็เอ่ยเสริมว่า “ต่อไปพวกเจ้าทั้งสองจะได้กินอาหารเลิศรสของหอปี๋เซิ่งด้วยกัน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...