ดังนั้นผู้คนจึงค่อยๆ ไม่พูดถึงอัคคีภัยในครั้งนั้นเป็นที่รู้กันอีกต่อไป เมื่อกาลเวลาผ่านไปนับพันปี คนในหมู่ชนที่รู้เรื่องนี้น้อยลงไปทุกที
ในบรรดาผู้มีอำนาจ มีเพียงกษัตริย์และผู้เฒ่าในแต่ละรัชสมัยเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้
แต่เซียวเฉวียน ชาวต้าเว่ยซึ่งเกิดภายหลังพันปีมาแล้ว กลับรู้รายละเอียดมากมาย
สันนิษฐานว่า เจี้ยนจงเป็นคนบอกต่อให้กับเซียวเฉวียน
ใช่ ผู้เฒ่าไม่คิดว่าเซียวเฉวียนจะสามารถรู้เรื่องราวของเขาคุนหลุนมากมายขนาดนี้จากช่องทางอื่น ต้องเป็นเจี้ยนจงซึ่งหลังฟื้นชีพแล้วมาบอกกับเซียวเฉวียน
พวกเขากระทั่งรู้สึกด้วยว่าเซียวเฉวียนช่วยเหลือคุนหลุนขนาดนี้ ต้องเป็นเพราะสาเหตุของเจี้ยนจง
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ พวกเขาก็รู้สึกมั่นใจมากขึ้นเล็กน้อย
ในที่สุด บรรพบุรุษผู้อาวุโสก็คือบรรพบุรุษผู้อาวุโส ถึงแม้จะหลับใหลไปนับพันปี ถึงแม้ว่าจะยอมรับเซียวเฉวียน ซึ่งเป็นชาวต้าเว่ยเป็นนาย แต่หัวใจของเขาก็ยังฝักใฝ่เขาคุนหลุน
ด้วยบารมีของบรรพบุรุษผู้อาวุโส เขาคุนหลุนจะต้องผงาดขึ้นอย่างแน่นอน !
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ผู้เฒ่าได้เปลี่ยนทัศนะวิสัยที่มีต่อเซียวเฉวียน ก็เพราะเห็นแก่เจี้ยนจง ไม่ใช่เพราะตัวของเซียวเฉวียนเอง
เซียวเฉวียนฟังคำพูดของชิงหลงและพูดด้วยอารมณ์นิ่งเฉย "ชิงหลง ถ้าวันหนึ่งต้าเว่ยต้องทำสงครามกับคุนหลุนจริงๆ เจ้าจะคิดยังไง ?"
คำถามในลักษณะนี้ เซียวเฉวียนก็เคยถามชิงหลงมาแล้ว ตอนนี้ เซียวเฉวียนอยากจะฟังว่าชิงหลงจะคิดอย่างไร
เห็นได้ชัดว่าชิงหลงอึ้งไปที เขาจ้องมองเซียวเฉวียนด้วยสายตาที่ซับซ้อน จากนั้นจึงกล่าวด้วยเสียงหนักแน่นแฝงความหมายที่ลึกซึ้ง "ท่านเซียว ข้าไม่อยากให้คุนหลุนกับต้าเว่ยต้องมารบกันเลย"
เมื่อรบกันขึ้นมา ประชาชนก็ต้องเดือดร้องลำบาก
ในฐานะผู้มีอำนาจ หากไม่สามารถทำให้พสกนิกรของเขาอยู่เย็นเป็นสุข ชิงหลงรู้สึกว่านั่งในตำแหน่งรัชทายาทแห่งคุนหลุนก็ไม่มีความหมายอะไร
กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากใครสามารถทำให้ชาวคุนหลุนอยู่เย็นเป็นสุขได้ ชิงหลงจะยกให้เขาเป็นรัชทายาทแห่งคุนหลุน เปิดทางให้กับผู้มีคุณธรรมมีสติปัญญาได้
พอได้ยินเช่นนี้ เซียวเฉวียนส่งสายตาแสดงความชื่นชมต่อชิงหลง
ตั้งแต่บรรพกาล กษัตริย์ไม่น้อย ยอมเสียสละชาวประชายกทัพจับศึกไปทั่วเพื่อเกียรติยศของตัวเอง เพื่อราชวงศ์โดยรวม ทำให้ชาวประชาไม่อาจอยู่เย็นเป็นสุข บ้านเมืองลุกเป็นไฟ
เซียวเฉวียนก็รู้ถึงความจนใจของชิงหลง แม้ว่าเขาจะไม่ชอบก่อสงคราม แต่พวกผู้เฒ่าชอบยกทัพจับศึกไปทั่ว ชิงหลงคนเดียวไม่อาจฝืนใจพวกเขาได้ จำต้องตามใจให้พวกเขาไปก่อสงคราม
เซียวเฉวียนพูดเบา ๆ "เจ้ายอมจะสละตำแหน่งรัชทายาทจริงๆ หรือ ?"
การสละตำแหน่งรัชทายาทก็เท่ากับสละอำนาจสูงสุดและความมั่งคั่งรุ่งเรืองที่เสพสุขไม่มีวันหมด
ในสายตาของชาวคุนหลุน ตอนนี้พวกเขาไร้ซึ่งความผูกมัดของตราจูเสินแล้ว ด้วยความกล้าหาญและความสามารถในการสู้รบ พวกเขาชาวคุนหลุนจะกลายเป็นเจ้าเหนือหัวของโลกไม่ช้าก็เร็ว
เมื่อถึงเวลานั้น ชิงหลงจะเป็นบุคคลที่ทรงเกียรติภูมิสูงสุดในโลก
เกียรติภูมิดังกล่าวเป็นที่ใฝ่ฝันของทุกๆ คน
ไม่ว่าจิตสำนึกทางอุดมการณ์ของชิงหลงจะสูงแค่ไหน เขาก็ไม่น่าจะเอาชนะสิ่งล่อใจเช่นนั้นได้ใช่ไหม ?
ชิงหลงไม่ได้ตอบคำถามของเซียวเฉวียนโดยตรง เขามองเซียวเฉวียนด้วยสายตาแน่วแน่แล้วพูดว่า "บังอาจขอถามท่านเซียว ถ้าท่านเป็นข้า ท่านจะยอมสละตำแหน่งรัชทายาทไหม ?"
เซียวเฉวียนไม่แม้แต่จะลังเลและตอบอย่างเด็ดขาด "ยอม"
ผู้คนในโลกนี้โง่เขลา มักคิดว่าราชบัลลังก์ที่อยู่สูงสุดนั้นน่านั่งนัก
ชอบคิดอยู่เสมอว่าตราบใดที่ได้ขึ้นนั่งบนบัลลังก์นั้น ก็จะไปถึงจุดสูงสุดของชีวิต ด้วยอำนาจ เงินทอง สาวงาม ทุกสิ่งทุกอย่าง
แต่พวกเขาไม่รู้หรอก ผู้อยู่ในตำแหน่งสูง คิดจะเป็นกษัตริย์ที่ทำประโยชน์ให้กับประเทศและประชาชนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
ต้องตื่นเช้ากว่าไก่โห่ นอนช้ากว่าสุนัข มีฎีกาที่ต้องตรวจอ่านไม่จบไม่สิ้น กิจของรัฐที่ต้องกังวลอย่างไม่มีวันหมด มาตรการรับมือที่ต้องพิจารณาไม่มีที่สิ้นสุด
ชาวคุนหลุนมีความกล้าหาญและชอบทำศึกมาแต่กำเนิด แต่ด้วยมีตราจูเสินบังคับ พวกเขาจึงอยู่นิ่งมานานเป็นพันปี
พอไม่มีตราจูเสิน ความทะเยอทะยานของพวกเขาก็เปิดเผยอย่างเจนจรัส พวกเขาไม่อาจจะพอใจกับสภาพที่เป็นอยู่ พวกเขาต้องการครอบครองโลกทั้งใบ
ชิงหลงรู้ตัวว่าเขาไม่มีความสามารถห้ามปรามพวกเขา เขาไม่มีทางยับยั้งความทะเยอทะยานของชาวคุนหลุนที่จะครองโลกได้
เขายิ่งอดไม่ได้ที่จะเฝ้าดูเผ่าชาวคุนหลุนทำร้ายคนทั้งโลกเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง
เขายิ่งไม่มีทางที่จะนั่งบนบัลลังก์สูงสุดในโลกได้อย่างสบายใจ ในวันใดวันหนึ่งข้างหน้า
รัชทายาทแห่งคุนหลุนคนหนึ่งยังไม่สามารถทำตามความปรารถนาของตนเองได้ ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดของโลกก็ยิ่งทำไม่ได้เลย
แทนที่จะใช้ชีวิตเหมือนหุ่นเชิด สู้อยู่อย่างอิสระสบายๆ ดั่งเช่นเมฆลอยบนฟ้าหรือนกกระเรียนในป่าไม่ดีกว่าหรือ
พบเห็นเหตุอยุติธรรม ชักดาบช่วยเหลือได้ยังดีกว่าเป็นกษัตริย์ที่ไม่สามารถทำอะไรตามใจตนเองได้
ด้วยคำพูดของเซียวเฉวียน สรุปได้ว่า ชิงหลงรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถควบคุมสถานการณ์โดยรวมได้
แทนที่จะถูกควบคุมโดยคนอื่น สู้ละทิ้งชื่อเสียงเลื่อนลอยพวกนี้ไปดีกว่า
ในความเห็นของเซียวเฉวียน ชิงหลงเป็นหนึ่งในไม่กี่คนในโลกที่ยังมีสติตื่นตัว !
ถึงแม้ชิงหลงจะไม่ค่อยเข้าใจว่าสติตื่นตัวในโลกนี้หมายความว่าอะไร แต่จากคำพูดไม่กี่คำ ชิงหลงก็สามารถบอกได้ว่าเซียวเฉวียนกำลังชื่นชมเขา
ดังนั้นเขาจึงยิ้มเบา ๆ และพูดว่า "ขอบคุณท่านเซียวที่ชื่นชม"
เซียวเฉวียนได้ยินเสียงในใจของชิงหลงก็แอบกระตุกมุมปากและคิดในใจ ชายโบราณคนนี้ช่างน่ารักจริงๆ
เซียวเฉวียนเลี้ยววนกลับมาที่หัวข้อเดิม สายตาเฉยเมยและพูดว่า "แต่ถ้าผู้เฒ่าและคนในเผ่าไม่ยอมให้เจ้าสละตำแหน่งรัชทายาท เจ้าจะเลือกทางยังไง ?"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...