บ้าที่สุด!
หมิงเจ๋ออดไม่ได้ที่จะสาปแช่งออกมาในใจ
องครักษ์พวกนี้นับวันยิ่งไม่ได้เรื่อง
เมื่อนึกถึงแผนการที่ล้มเหลว หมิงเจ๋อมักจะโยนความผิดไปให้กับเหล่าองครักษ์เสียก่อน เขาคิดว่าองครักษ์นั้นไม่สามารถทำหน้าที่ตนตัวเองได้ จึงทำให้พวกเขาล้มเหลวในการส่งจดหมายไปถึงฮ่องเต้
นี่คือสิ่งที่หมิงเจ๋อคิด ตรรกะของเขาก็เป็นเช่นนี้
เขาในฐานะองค์ชายแห่งซินเจียง ครอบครองอำนาจอันยิ่งใหญ่ ชอบความรู้สึกที่ทุกอย่างอยู่ในการควบคุม
โดยเฉพาะเรื่องความภักดี เขาชอบให้คนที่อยู่ข้างกายของเขาภักดีจากใจจริง ไม่มีอะไรปิดบังเขา
และเมื่อใดก็ตามที่คนพวกนี้ปกปิดเรื่องราวต่อหมิงเจ๋อแม้แต่น้อย หมิงเจ๋อจะรู้สึกว่าคนเหล่านี้มีความคิดอื่น เขาจะตัดสินลงโทษคนเหล่านี้
นี่เป็นเรื่องจริงสำหรับเขาในฐานะองค์ชาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฐานะฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่แห่งต้าเว่ย
ยิ่งไปกว่านั้นเซียวเฉวียนคือคนที่มีความสามารถ แถมยังได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากฮ่องเต้
หากฮ่องเต้แห่งต้าเว่ยรู้ว่าเซียวเฉวียนมีเรื่องที่ปกปิดเขาอยู่ ความไว้เนื้อเชื่อใจที่ฮ่องเต้มีต่อเซียวเฉวียนก็จะลดลง จนถึงขั้นอาจคิดว่าเซียวเฉวียนนั้นมีความคิดที่สองหรืออาจกำลังต่อต้านเขาอยู่
ต่อให้เซียวเฉวียนจะมีหรือไม่มีความคิดพวกนั้นก็ตาม ฮ่องเต้ก็อดที่จะคิดเช่นนี้ไม่ได้
เรื่องจากฮ่องเต้ในยุคโบราณนั้นเต็มไปด้วยความหวาดระแวง ฮ่องเต้มักจะคิดว่าคนที่อยู่ข้างกายนั้นคิดจะแย่งชิงอำนาจไปจากเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่มีสติปัญญาเฉกเช่นเซียวเฉวียน
เมื่อฮ่องเต้เกิดความสงสัยในตัวของเซียวเฉวียนขึ้นมา ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็จะพังทลายลง
นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ
แต่คนของหมิงเจ๋อก็ยังไม่ส่งจดหมายกลับมา นั่นแสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้กับเซียวเฉวียนยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ด้วยผลลัพธ์เช่นนี้ หากไม่บอกว่าองครักษ์ทำงานไม่ได้เรื่อง เช่นนั้นจะต้องบอกว่าอะไร?
เจ้าพวกขยะ!
ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่เคยทำสำเร็จ!
หมิงเจ๋อโกรธจนใบหน้ากลายเป็นสีแดง
ให้พวกเขาไปจับตัวองค์หญิง พวกเขาก็จับตัวองค์หญิงกลับมาไม่ได้ แถมยังทำให้ต้นหลิวของนักปราชญ์ทั้งหมดถูกทำลาย ทำให้นักปราชญ์ชักสีหน้าใส่หมิงเจ๋อ
วันนี้สั่งให้พวกเขานำจดหมายไปส่ง เรื่องง่ายแค่นี้แต่พวกเขากลับทำไม่สำเร็จ
หากไม่ใช่เพราะเขาอยู่ในสภาพที่ตกต่ำจนและไม่มีใครใช้งาน เขาคงสังหารคนพวกนี้ให้สิ้นซากไปตั้งนานแล้ว!
และในตอนที่หมิงเจ๋อกำลังกล้ำกลืนความโกรธ นกพิราบตัวหนึ่งก็บินกลับมาเกาะบนไหล่ของเขาพร้อมกับส่งเสียงออกมา
หมิงเจ๋อคลำหาจดหมายจากตักของนกพิราบด้วยความรู้สึก จากนั้นก็ปล่อยนกพิราบไป
เขาเงี่ยหูฟังรอบๆ หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีผู้ใดอยู่ เขารีบเปิดจดหมายออกมา หลังจากนั้นก็ใช้ปลายนิ้วค่อยๆ สัมผัสกับตัวอักษรบนจดหมาย
จดหมายฉบับนี้ค่อนข้างพิเศษ ไม่ได้ใช้พู่กันเขียน แต่เป็นการแกะสลักบนแผ่นไม้
ด้วยเหตุนี้จึงสามารถแกะสลักตัวอักษรเป็นข้อความได้ หมิงเจ๋อจึงสามารถรับรู้ข้อความเหล่านั้นได้จากการสัมผัส
ดวงตาของมองไม่เห็น แต่เขาก็ไม่อยากให้คนข้างกายของเขารับรู้ถึงแผนการที่เขาวางไว้ เขาอยากให้ตนเองสามารถรับรู้เนื้อหาได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงคิดวิธีนี้ออกมา
หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป หมิงเจ๋อก็เข้าใจเนื้อหาทั้งหมดในจดหมาย
ที่จริงจดหมายนั้นไม่ได้ยาว มันเขียนไว้ว่าจดหมายได้ส่งไปถึงมือของฮ่องเต้แล้ว แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใดจึงไม่มีจดหมายตอบรับกลับมา ตอนนี้จึงทำได้เพียงส่งจดหมายมาขอคำสั่งขั้นต่อไปจากหมิงเจ๋อ
ตอนแรกก็คิดว่าจะเป็นข่าวดี แต่เมื่อหลังจากอ่านข้อความทั้งหมดแล้วหมิงเจ๋อก็รู้สึกผิดหวัง
นี่มันไม่ใช่ข่าวดีอะไรเลย มันทำให้หมิงเจ๋อโกรธเสียยิ่งกว่าเดิม
พูดแบบนี้ก็หมายความว่า ฮ่องเต้รู้ว่าเซียวเฉวียนมีบางอย่างปิดบังเขา แต่ฮ่องเต้ก็ยังคิดที่จะเลือกเซียวเฉวียน?
ฮ่องเต้เชื่อมั่นในตัวของเซียวเฉวียนมากขนาดนี้เลยงั้นหรือ?
เซียวเฉวียนโชคร้าย หมิงเจ๋อจึงมีความสุข
แต่อย่างไรก็ตาม หมิงเจ๋อคิดไม่ถึงเลยว่าแผนการของเขาจะต้องล่มสลายอีกครั้ง
พูดให้ถูกก็คือ มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะดึงดูดความสนใจของประชาชนแห่งต้าเว่ย
องครักษ์ของหมิงเจ๋อกระจายข่าวออกไปได้ไม่นาน พายุยังไม่ทันเริ่มก่อตัวก็ถูกพายุอีกลูกปกคลุมไปก่อนแล้ว
พายุลูกนี้เองก็เกี่ยวข้องกับเซียวเฉวียน มีคนบอกว่า เห็นเซียวเฉวียนเดินเข้าออกตำหนักพระนางเม่ยซีอย่างอิสระด้วยตาของตนเอง
ทันทีที่ข่าวนี้ถูกแพร่กระจายออกไป ความโกลาหลก็เกิดขึ้นในเมืองหลวงทันที
คนที่รู้เรื่องราว พระนางเม่ยซีนั้นมาจากจวนเซียว เป็นน้องสาวแท้ๆ ของไป๋ฉี่ มีความสัมพันธ์กับเซียวเฉวียนในฐานะพี่ชายน้องสาว การที่ผู้เป็นพี่เดินทางเข้ามาเยี่ยมน้องสาวในตำหนักมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยกล่าวว่า เซียวเฉวียนและเม่ยซีนั้นไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยอยู่ร่วมใต้หลังคาเดียวกัน มีความสนิทสนมกัน จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะมีความสัมพันธ์กันแบบลับๆ
ประกอบกับองค์หญิงต้าถงได้จากไปปีกว่าแล้ว เซียวเฉวียนเป็นชายที่บึกบึนและเข้มแข็ง เป็นม่ายมาเป็นเวลานาน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่อยากได้สตรีมาครอบครอง
ดังนั้นหลายคนจึงมีความคิดสกปรก คิดว่าเซียวเฉวียนและเม่ยซีที่เคยมีความสัมพันธ์กัน ความรู้สึกเก่าๆ ของพวกเขากลับฟื้นคืนมา เซียวเฉวียนจึงเข้าไปในพระราชวังอย่างเงียบๆ เพื่อพบกับน้องสาวของเขาเป็นการส่วนตัว
ยิ่งเรื่องนี้ถูกแผ่กระจายออกไปมากเท่าไหร่ เนื้อหาของมันก็ยิ่งแย่ลงมากขึ้นเท่านั้น
แม้แต่คนที่เชื่อมั่นใจความซื่อสัตย์ของเซียวเฉวียนตั้งแต่แรกก็ยังรู้สึกสั่นคลอนเล็กน้อย
ท้ายที่สุดแล้ว เซียวเฉวียนเป็นม่ายมานานกว่าหนึ่งปี และรูปลักษณ์ของเม่ยซีเองก็งดงามไม่น้อย เรื่องนี้ทุกคนต่างรู้ดี สุภาพบุรุษนั้นชอบสาวงาม ประชาชนสามารถเข้าใจได้
แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีของราชวงศ์ ประชาชนทำได้เพียงพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวเท่านั้น ไม่กล้าพูดออกไปในที่สาธารณะ
เพราะพวกเขาต่างกลัวว่าจะถูกฆ่าปิดปาก
แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ สุดท้ายแล้วข่าวลือก็ยังไปถึงหูของเซียวเฉวียนอยู่ดี
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...