มันช่างน่าโมโหยิ่งนัก!
หลินฟ่างเองก็โกรธมาก แต่เขายังมีสติอยู่บ้าง
เขามองมาที่อู๋จี้และพูดอย่างใจเย็นว่า “ลดเสียงลงหน่อย”
เกรงว่าคนอื่นจะมองไม่เห็นเจ้าหรืออย่างไร?
เมื่อได้ยินคำเตือนจากหลินฟ่าง อู๋จี้ก็หุบปากทันใด กล้ำกลืนสิ่งที่เขาอยากจะพูดกลับไป
แต่ความโกรธแค้นในดวงตาของเขานั้นไม่ได้ลดลงเลย
หากไม่ใช่เพราะกลัวว่าคนอื่นจะรู้ เขาคงตะโกนสาปแช่งออกไปแล้ว
เซียวเฉวียน เจ้าคนสารเลว!
เหตุใดถึงได้มีคนเช่นนี้อยู่บนโลก?
เจ้าบอกว่าไม่อยู่ในจวนก็คือไม่อยู่ในจวนงั้นหรือ ปล่อยให้พวกเขารอตั้งนาน พอจะกลับก็เสนอหน้าออกมาเพื่อเย้ยหยันพวกเขาอย่างสะใจว่า ที่จริงข้าก็อยู่มาโดยตลอด
เคยเห็นความโอหังมามากมาย แต่ก็ไม่เคยเห็นใครโอหังเช่นเซียวเฉวียนมาก่อน!
โกรธ!
มันทำให้ข้ารู้สึกโกรธมาก!
โกรธจนอยากจะเผาจวนเซียวให้ลุกเป็นไฟตอนนี้เลย!
แต่จวนเซียวนั้นถูกป้องกันด้วยแผงกั้น อู๋จี้ไม่สามารถทำอะไรมันได้
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ความโกรธของอู๋จี้ก็ค่อยๆ เบาลง ได้รับความอับอายถึงเพียงนี้ อู๋จี้ไม่สนใจลุงของเขาอีกต่อไป พูดออกมาอย่างอารมณ์เสีย “ข้าขอตัวก่อน ท่านลุงอยากรอก็รอไปคนเดียวเถอะ!”
พูดจบอู๋จี้ก็หันหลัง เดินจากไปด้วยความโมโห
เดินออกไปได้สองก้าว อู๋จี้หันกลับมาพูดออกไปว่า “ครั้งนี้ไม่ต้องมาเรียกข้าแล้ว!”
พวกเราไม่อาจเสียหน้าไปมากกว่านี้แล้ว!
และดูจากท่าทางของเซียวเฉวียน ไม่ว่ามองอย่างไรก็ไม่มีทางยกโทษให้กับพวกเขา
คิดว่าเซียวเฉวียนจะช่วยพวกเขางั้นหรือ?
ชาติหน้าก็ไม่มีวันเป็นไปได้!
ไม่ขอความเมตตาแล้วมันยังไง?
มากที่สุดมันก็แค่ตาย!
อู๋จี้ไม่เชื่อว่าเซียวเฉวียนจะกล้าฆ่าพวกเขาจริงๆ
จ้องมองเงาหลังที่จากไปของอู๋จี้ หลินฟ่างถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว สุดท้ายแล้วอู๋จี้ยังเด็กเกินไป ยังไม่รู้จักการระงับและควบคุมอารมณ์!
แต่เมื่อลองคิดดูให้ดี มันก็ไม่ผิดที่อู๋จี้จะโกรธ
ทัศนคติของเซียวเฉวียนนั้นชัดเจน แม้แต่โอกาสพูดยังไม่ยอมมอบให้พวกเขา คิดจะขอความเมตตาจากเขาคงเป็นไปไม่ได้
ชีวิต!
ความรู้สึกไร้พลังแล่นเข้ามาในสมองของหลินฟ่างทันใด เขามองไปที่จวนเซียว สุดท้ายก็ถอนหายใจและเดินจากไป
ระหว่างทาง เขาพยายามคิดว่าจะทำให้ตัวเองรอดพ้นจากเรื่องราวในครั้งนี้ไปได้อย่างไร
ระหว่างที่คิดเขาก็ไล่ตามอู๋จี้ไปด้วย
เห็นหลินฟ่างไล่ตามมา สีหน้าของอู๋จี้ก็ดูดีขึ้นเล็กน้อย เขาตามมาเร็วถึงเพียงนี้ น่าจะเป็นเพราะเขาน่าจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้างแล้ว
อู๋จี้หันหน้าไปมองหลินฟ่าง เขาพบว่าบนศีรษะของหลินฟ่างนั้นมีพบสีขาวมากกว่าเมื่อก่อน ใบหน้าของเขาดูแกชรามากกว่าเดิมไม่น้อย
ความรู้สึกพุ่งออกมาจากหัวใจของเขา น้ำเสียงของเขานุ่มนวลกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อย “ท่านลุง ข้าทำให้ท่านไม่สบายใจ ข้าขอโทษ”
หลานวันที่ผ่านมานี้ หลินฟ่างกังวลเกี่ยวกับเรื่องของเขามาโดยตลอด อู๋จี้รู้เรื่องนี้ดี แต่ที่ผ่านมาอู๋จี้สนใจที่จะแก้แค้นเท่านั้น ละเลยต่อความหวังดีของหลินฟ่าง และทำตัวหยาบคายต่อหน้าเขาอยู่หลายครั้ง
เมื่อวันนี้ลองไตร่ตรองดูให้ดี อู๋จี้รู้สึกละอายใจเป็นอย่างมาก
คำขอโทษนี้ หลินฟ่างที่ได้ยินถึงกับตกตะลึง เขาแทบไม่เชื่อกับสิ่งที่ตนเองกำลังได้ยิน
เขามองดูอู๋จี้ด้วยความประหลาดใจ และเห็นท่าทีของอู๋จี้ดูดีกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อย
อู๋จี้พูดคำพูดที่อ่อนโยนต่อหัวใจเช่นนี้ออกมาโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว ทำให้หลินฟ่างตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก เขายิ้มออกมาและพูดว่า “เจ้าเด็กโง่ เจ้าพูดอะไรของเจ้า”
อู๋จี้เป็นหลานเพียงคนเดียวของเขา ไม่ช่วยอู๋จี้แล้วเขาจะไปช่วยใคร?
มันไม่จำเป็นต้องเปิดใจถึงเพียงนี้?
แต่พูดไปพูดมา หลินฟ่างก็สงสัยเป็นอย่างมากว่า ก่อนที่อู๋ฟานจะจากไป เขาพูดอะไรกับอู๋จี้?
เพราะว่าเขาสงสัยจริงๆ มันผิดหรือเปล่าที่อู๋จี้จะเกลียดเซียวเฉวียน?
สาเหตุหลักที่ทำให้อู๋ฟานต้องตายนั้นมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเซียวเฉวียนหรือเปล่า?
อู๋จี้จะเป็นเหมือนกับจ้าวหลานได้หรือไม่?
มันจะไม่เกี่ยวกับเซียวเฉวียนได้อย่างไร!
เขาจะเข้าใจผิดเซียวเฉวียนได้อย่างไร!
ไม่มีทาง!
เขาไม่มีทางเข้าใจผิดเป็นแน่!
ยิ่งพูด อารมณ์ของอู๋จี้ก็ยิ่งพลุ่งพล่าน เขาขาดสติ ก้าวไปข้างหน้าและดึงคอเสื้อของหลินฟ่าง เผชิญหน้ากับหลินฟ่างอย่างโหดร้าย “บอกมา! คนแซ่เซียวให้ประโยชน์อะไรกับเจ้างั้นหรือ!”
ในตอนนี้ นี่ไม่ใช่อู๋จี้ที่หลินฟ่างรู้จักอีกต่อไป
ท่าทางของเขาค่อนข้างน่าหวาดกลัว แถมยังดูหมิ่นหลินฟ่าง ทำให้หลินฟ่างระเบิดความโกรธออกมาโดยไม่รู้ตัว “จี้เออร์! เจ้ากำลังพูดอะไรออกมา!”
ตอนนี้ท่าทางของอู๋จี้กลับมาเป็นปกติเล็กน้อย ปากของเขาสั่น เหมือนว่ากำลังพึมพำอะไรบางอย่าง แต่หลินฟ่างก็ไม่ได้ยินว่าเขาพูดอะไร
เขาพึมพำอยู่สักพัก จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองหลินฟ่างด้วยแววตาที่ว่างเปล่า
ในตอนนี้ ในที่สุดหลินฟ่างก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ เขาตะโกนออกไปด้วยความระมัดระวัง “จี้เออร์?”
ได้ยินเสียงเรียกของเขา แววตาคู่นั้นของอู๋จี้สว่างขึ้นมา ท่าทางของเขาดูตื่นตระหนกขึ้นกว่าตอนแรก มือของเขายังคงจับที่เสื้อผ้าของหลินฟ่าง ตะคอกออกมาว่า “บอกมา! คนแซ่เซียวให้ประโยชน์อะไรกับเจ้า!”
พูดจบเขาก็พูดออกมาอีกว่า “ไม่เช่นนั้น เหตุใดเจ้าถึงต้องมาพูดแทนเขา!”
จากนั้นเขาก็จ้องมองไปที่หลินฟ่างด้วยสายตาดุร้าย มองไปมองมาแล้วก็ยิ้ม
มองจนทำให้หลินฟ่างขนลุกไปทั้งตัว
เซียวเฉวียนยืนอยู่บนกำแพงของจวนเซียว เฝ้ามองดูต่อไปว่าพวกเขาจะข้ามผ่านเหตุการณ์แห่งความสิ้นหวังนี้ไปได้อย่างไร จ้องมองฉากดังกล่าวด้วยแววตาอันเยือกเย็น
เสวียนอวี๋ที่ยืนอยู่ข้างเขากล่าวออกมาอย่างนุ่มนวล “เซียวเฉวียน ดูเหมือนว่าเจ้านั่นจะบ้าไปแล้ว”
เซียวเฉวียนพยักหน้าตอบรับ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป
หากบ้าไปแล้วก็ถือว่าเป็นประโยชน์กับเขา
อย่างไรเสียเซียวเฉวียนก็คงไม่คิดที่จะวางแผนทำร้ายคนบ้าไม่ใช่หรือไง?
บ้าก็ปล่อยให้บ้าไปแล้วกัน!
พูดจบเซียวเฉวียนก็หันหลังและกระโดดลงจากกำแพง
แต่ในตอนนั้นเอง ฉากที่แม้แต่เซียวเฉวียนคาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...