เพียงพริบตาเดียว บรรยากาศก็เริ่มอึดอัดขึ้นมา
หัวใจของชาวบ้านก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน
ให้ตายเถอะ คุณชายใหญ่เฉินคนนี้คงไม่คิดจะสู้กับเซียวเฉวียนหรอกใช่ไหม?
ดูจากท่าทางที่ไม่ยอมแพ้ของเขา ดูท่าทางจะเป็นไปได้มาก
หากสู้กันขึ้นมาจริง ๆ คุณชายใหญ่เฉินคนนี้ก็คงโง่เขลามากเลยจริง ๆ
ความเก่งกาจของเซียวเฉวียน ทั่วทั้งเมืองหลวงยังมีผู้ใดที่ไม่รู้อีกบ้าง?
พูดตามความจริงแล้ว ไทยมุงส่วนไทยมุง ชาวบ้านกลับไม่หวังให้คุณชายใหญ่เฉินสู้กับเซียวเฉวียนขึ้นมาจริง ๆ
อย่างไรเสีย โดยปกติของคุณชายใหญ่เฉินนั้น ไม่ได้เหมือนลูกหลานตระกูลขุนนางที่ชอบรังแกผู้อื่น
กล่าวคือเฉินเฮ่อมีวิธีการบริหารจัดการตระกูลที่ดี
ซึ่งหมายถึงเฉินเฮ่อเฉลียวฉลาด ความคิดก้าวไกล
แม้ว่าเขาจะเกิดมาเป็นนักรบ แต่เขากลับมีความคิดอ่านราวกับขุนน้ำขุนนาง
การเป็นขุนนางที่ได้ใจประชาชนก็จะไร้ซึ่งอุปสรรคต่าง ๆ
แน่นอนว่ามีเหตุผลสำคัญอย่างหนึ่งคือ เขามีฐานะเป็นผู้ถวายอารักขาฮ่องเต้ มีหน้าที่ควบคุมดูแลอารักขาวังหลวง เขตคุ้มกันไม่รวมถึงชาวบ้าน และไม่มีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่สำคัญ
ดังนั้นจึงไม่มีความขัดแย้งใดเกิดขึ้น
ในขณะเดียวกัน เขาก็ตักเตือนคนในบ้านว่า ไม่ควรรังแกผู้อื่น และควรทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยความถ่อมตัว
สรุปง่าย ๆ ก็คือ ไม่ควรมีปัญหากับชาวบ้าน
หากเปรียบเทียบว่าผู้มีอำนาจคือเรือ ประชาชนก็เหมือนน้ำ
น้ำสามารถบรรทุกเรือได้ แต่ก็สามารถพลิกเรือได้เช่นกัน!
ทายาทของจวนเฉินต่างมีคุณสมบัติพอถูไถไปได้ การที่จวนเฉินสามารถครอบครองพื้นที่ในเมืองหลวงได้ ล้วนเกิดจากเฉินเฮ่อเพียงผู้เดียว
เฉินเฮ่อรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี
แม้ว่าคนรุ่นหลังจะไม่ประสบความสำเร็จใด ๆ แต่ถ้าหากประพฤติตนเหมาะสม ยืนหยัดตามหลักการ ปฏิบัติตนตามระเบียบแบบแผน ทรัพย์สินที่เฉินเฮ่อหาไว้ก็จะเพียงพอสำหรับปากท้องพวกเขาไปอีกหลายรุ่น
ด้วยเหตุนี้ เฉินเฮ่อจึงตักเตือนคนในบ้านอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด ภายใต้ความน่าเกรงขามของเขา จึงไม่มีผู้ใดกล้าออกนอกลู่นอกทาง
ดังนั้น ในสายตาของประชาชน คนในจวนเฉินก็ถือเป็นคนดี
แนวคิดของชาวบ้านค่อนข้างเข้าใจง่าย หากไม่มีคนลอบกัดพวกเขาก็ถือว่าเป็นคนดี
พวกเขาไม่ต้องการให้คนดีต้องตบตีกัน
ทว่าเมื่อคิดดูแล้ว พวกชาวบ้านก็มีเรื่องที่คิดไม่ตก เหตุใดเซียวเฉวียนจึงต้องปกป้องจวนฉินถึงขนาดนี้?
ไม่มีเหตุผลเลยนะ?
หรือว่าคิดจะรื้อฟื้นความรู้สึกที่มีต่อฉินซูโหรวจริง ๆ งั้นหรือ?
คงไม่หรอกมั้ง?
ว่ากันว่า ม้าดีไม่หันหลังกลับไปกินหญ้า
อีกทั้งใต้หล้ายังมีสาวงามอีกมากมาย เซียวเฉวียนมีทั้งอำนาจและเงินทอง อยากได้ผู้หญิงแบบไหนก็เลือกได้ตามใจต้องการมิใช่หรือ?
หากคืนดีกันขึ้นมาจริง ๆ ฉินซูโหรวกลับเป็นบ้าขึ้นมาอีก เซียวเฉวียนไม่หาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ?
หยุด หยุด หยุด ชาวบ้านคิดดูแล้วก็เป็นห่วงแทนเซียวเฉวียน ขออย่าได้คืนดีกับฉินซูโหรวเลยนะ!
คิดไปคิดมา ความคิดของชาวบ้านก็ไถลออกไปไกลแล้ว
และเมื่อคุณชายใหญ่เฉินจ้องตากันกับเซียวเฉวียนได้เพียงครู่เดียว ก็ยอมแพ้ในที่สุดและถอดสายตากลับมา เมื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “ใต้เท้าเซียว ท่านจะช่วยเจรจากันสักหน่อยเถิด ช่วยพูดต่อสิ่งดี ๆ ต่อหน้าแม่ทัพฉิน และปล่อยเรื่องนี้ไปได้หรือไม่?”
เมื่อเห็นคุณชายใหญ่เฉินตื่นตระหนก และไม่กล้าเรียกตัวเองว่าคุณชายต่อหน้าเซียวเฉวียนอีกเลย
จริงด้วย คุณชายใหญ่เฉินมีเรื่องขอร้องเซียวเฉวียน จึงทำหน้าบูดหน้าบึ้ง
เขาไม่มีทางคุกเข่าลงคำนับต่อหน้าผู้คนได้
หากต้องคุกเข่าคำนับจริง ๆ นับแต่นี้ไปจวนเฉินต้องเป็นตัวตลกในเมืองหลวง และถ้าหากเรื่องนี้ถึงหูของเฉินเฮ่อ เฉินเฮ่อไม่โมโหจนตายก็ต้องตัดขาคุณชายใหญ่เฉินทิ้งเสีย!
เขามาก่อเรื่องในจวนฉินด้วยตัวเอง!
แค่ก่อเรื่องก็มากพอแล้ว ยังเอาศักดิ์ศรีและเกียรติยศมาทิ้งไว้ที่นี่ด้วย ช่างน่าอายเสียจริง!
เพราะเขาไม่ได้เด็ดขาดเหมือนชายที่มุทะลุดุดันเลยจริง ๆ
ชายที่มุทะลุดุดันอย่างแท้จริง หากเซียวเฉวียนให้เขาก้มหัวลงคำนับ มีเพียงผลลัพธ์สองอย่างก็คือ ทำหรือไม่ทำ
ไม่เหมือนกับคุณชายใหญ่เฉินที่เป็นแบบนี้ พูดพล่ามไม่หยุด และยังคิดหาวิธีที่จะรักษาเกียรติของตัวเองเอาไว้
คนประเภทนี้ ถือได้ว่าเป็นการเปิดโลกทัศน์ของเซียวเฉวียน
เมื่อเห็นท่าทางที่เด็ดขาดของเซียวเฉวียน คุณชายใหญ่เฉินก็ทำอะไรไม่ได้จริง ๆ เขาเหลือบมองเซียวเฉวียนด้วยสายตาที่ซับซ้อน กระมิดกระเมี้ยนอยู่ค่อนวัน แต่ยังไม่ยอมก้มหัวลงคำนับ
เซียวเฉวียนมองเขาอย่างดูถูกและพูดขึ้นว่า “หากคุณชายใหญ่เฉินไม่รู้จักการก้มหน้าคำนับ ข้าจะสอนให้เอง”
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เจ้าจะทำด้วยตัวเอง หรือต้องให้ข้าลงมือ?
พูดจบ เขาก็เลิกคิ้วและเตรียมจะลงไม้ลงมือ
แน่นอนว่า นี่เป็นเพียงแค่การข่มขู่คุณชายใหญ่เฉินเท่านั้น เซียวเฉวียนไม่ได้ลงไม้ลงมือกับเขาจริง ๆ เพื่อไม่ใช้คนอื่นพูดได้ว่าเขารังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า
เมื่อสถานการณ์บีบคั้น และความน่าเกรงขามของเซียวเฉวียน คุณชายใหญ่เฉินจำเป็นต้องก้มหัวลง
เมื่อได้ยินดังนั้น คุณชายใหญ่เฉินก็เหลือบมองเซียวเฉวียนด้วยความไม่พอใจอย่างมาก จากนั้นก็พูดขึ้นเสียงดังว่า “ไม่ต้อง ข้าทำเองได้!”
อย่างไรก็ไม่อาจต่อรองได้ คุณชายใหญ่เฉินจึงเปลี่ยนท่าทีที่พูดเสียงเบาเมื่อครู่ ใบหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว และเหลือบมองเซียวเฉวียนด้วยความไม่พอใจ จากนั้นก็หมุนตัวและนั่งลงคุกเข่าบนพื้น คำนับไปยังประตูใหญ่ของจวนฉินด้วยความว่องไว
ตอนนี้เขาคิดเพียงว่าต้องรีบคำนับให้เสร็จ และรีบไปจากที่นี่
กลับไปต้มยาให้เฉินเฮ่อก็ดี และคำนับพร้อมสารภาพผิดต่อเฉินเฮ่อก็ดี อย่างไรเขาก็ไม่อยากอยู่ที่นี่นานแม้แต่วินาทีเดียว
ขายหน้า!
ช่างขายหน้าผู้อื่นเสียจริง!
ณ เวลานี้หัวของเขามีเพียงเสียงพึมพำ และจิตใจของเขาก็เต็มไปด้วยภาพของผู้คนที่ชี้หน้าและหัวเราะเยาะเขา
เมื่อคุณชายใหญ่เฉินก้มหัวคำนับเสร็จ ก็ลุกขึ้นอย่างฉับไว ในระหว่างที่ผู้คนกำลังวิพากษ์วิจารณ์อยู่นั้น เขาก็หนีหัวซุกหัวซุนเผ่นแนบไป
ขอแค่ข้าวิ่งหนีให้ไว ข้าก็จะไม่ได้ยินในสิ่งที่พวกเขาพูดแล้ว
สิ่งที่ตาไม่เห็น หรือหูไม่ได้ยิน นับเป็นเรื่องที่ใสสะอาด!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...