หลังจากทักทายกันสักพัก ชาวบ้านก็ตรงเข้าประเด็นสำคัญ "ใต้เท้าเฉิน ได้ยินมาว่าท่านกับแม่ทัพฉินไม่ลงรอยกัน เป็นความจริงหรือเปล่า ?"
พอได้ยิน เฉินเหอก็ยิ้มอย่างสงบนิ่งและพูดว่า "ไม่มีอะไร หากพวกท่านกังวลเกี่ยวกับลูกชายไปก่อเรื่องที่จวนฉินมา ข้าต้องขออภัยทุกท่านด้วย"
ผู้คนต่างพยักหน้าอย่างครุ่นคิดและถามต่อว่า "แล้วทำไมคุณชายเฉินถึงไปที่จวนฉินล่ะ ?"
เฉินเหอยังคงมีรอยยิ้มที่ดูดีบนใบหน้าและกล่าวว่า "เข้าใจผิด เป็นเรื่องเข้าใจผิดล้วนๆ ลูกชายทะเล่อทะล่าไปเอง"
”ตอนที่ข้าไปราชสำนัก ร่างกายเกิดไม่สบายกระทันหัน ท่านแม่ทัพฉินส่งข้ากลับมา ลูกชายเห็นเข้า เลยคิดว่าแม่ทัพฉินทำร้ายข้า ด้วยอารมณ์ร้อน จึงแอบไปที่จวนฉินมา”
ความหมายก็คือมันแค่เข้าใจผิด และที่ลูกชายคนโตมีความคิดจะไปหาเรื่องกับฉินเซิ่ง ข้าก็ยังไม่รู้เรื่อง
คำกล่าวนี้ เป็นได้ทั้งจริงทั้งเท็จ
ชาวบ้านฟังแล้วกลับเชื่ออย่างสนิทใจ ต่างมีท่าทีเหมือนตระหนักได้ว่า "เป็นอย่างนี้นี่เอง เป็นความเข้าใจผิดจริงๆ นี่เอง"
ทั้งสองตระกูลไม่วิวาทกันขึ้นมา ผู้คนจึงโล่งใจ
ที่อยากรู้ก็ได้รับรู้แล้ว สิ่งต่าง ๆ เรื่องราวเป็นอันว่ากระจ่าง ชาวบ้านจึงไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ที่นั่นต่อไปอีก
ชาวบ้านต่างก็แยกย้ายกันไปอย่างรู้ตัว
เนื่องจากคำปฏิเสธข่าวลือของเฉินเหอ ผู้คนจึงไม่หัวเราะเยาะตระกูลเฉินอีกต่อไป แต่พวกเขากลับยกย่องตระกูลเฉินเป็นอย่างมากเนื่องจากลูกชายคนโตคุกเข่าลงคำนับยอมรับผิดต่อหน้าทันที
พวกเขายกย่องมากที่สุดคือตระกูลเฉินมีการอบรมสั่งสอนคนในครอบครัวดีมาก นิสัยเที่ยงตรง กล้าทำกล้ารับ
ถือเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับครอบครัวทั่วไป
ครั้งนี้ ถือว่าทุกขลาภหล่นใส่จวนตระกูลเฉิน ได้รับคำยกย่องจากผู้คนมากมาย
คุณชายใหญ่เฉินอดประทับใจในความสามารถของเฉินเหอไม่ได้
ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคก็สามารถพลิกสถานการณ์ได้อย่างสบายๆ ให้ตระกูลเฉินได้รับคำชื่นชมเช่นนี้
ขิงแก่ย่อมเผ็ดกว่าอยู่นั่นเอง
เซียวเฉวียนออกจากจวนเฉินก็ตรงไปที่โรงเรียนชิงหยวน
ก่อนหน้านี้ไม่นาน ได้ยินเจี้ยนจงว่า สาเหตุจากเล่าลือ ลูกหลานมีตระกูลทั้งหลายถือโอกาสยั่วยุหาเรื่องพวกลูกหลานจากครอบครัวยากจน
ถึงแม้เจี้ยนจงจะระงับเหตุได้ แต่เซียวเฉวียนรู้สึกว่าตราบใดที่ลูกหลานของตระกูลร่ำรวยมีอำนาจยังมีความคิดแบ่งแยกชนชั้น เหตุการณ์อย่างนี้จะไม่ได้รับการแก้ไขอย่างสิ้นซาก
เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นอีกในอนาคตและจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
หากคิดจะแก้ไขความขัดแย้งนี้ให้สิ้นซาก ก็ต้องแก้ด้วยการถอนราก
หากจะถอนราก ก็ต้องเปลี่ยนแปลงความคิดของลูกหลานตระกูลเหล่านี้
โดยผ่านการอบรมสั่งสอน เจือจางความคิดแบ่งแยกชนชั้นของพวกเขาให้น้อยลง นานวันเข้า แนวคิดของพวกเขาก็จะเปลี่ยนไป
ถ้าหากสามารถละทิ้งไปโดยสิ้นเชิงได้ก็จะดีที่สุด
ถ้าไม่ได้ ก็ขอให้มันเบาบางลงให้มากที่สุด
หลังจากได้รับการสั่งสอนจากเจี้ยนจง เหล่าลูกศิษย์ก็เริ่มเชื่อฟังมากขึ้นและไม่กล้าก่อปัญหาอีกต่อมา
แต่นั่นเป็นเพราะเกรงกลัวอำนาจบารมีของเจี้ยนจง
ในบรรดาลูกหลานกุลชาติ ในโรงเรียนชิงหยวนมีอาจารย์อยู่หลายท่าน พวกเขาเกร่งกลัวแค่เจี้ยนจงคนเดียว
หากเจี้ยนจงไม่อยู่ที่นั่น พวกเขายังคงรังแกลูกหลานจากตระกูลยากจนต่างๆ นาๆ อย่างลับหลังและขู่เข็ญไม่ให้ฟ้องร้องด้วย
อย่างในวันนั้นที่เจี้ยนจงกลับไปที่จวนเซียว ลูกหลานของตระกูลเหล่านั้นก็ทำเช่นนั้นอีก
และเจี้ยนจงก็รู้เรื่องนี้ด้วย
ที่เขาบอกตั้งแต่แรกว่าใครก็ตามที่สร้างปัญหาจะถูกไล่ออกจากชิงหยวน ก็แค่ข่มขู่พวกลูกศิษย์ เขาไม่สามารถไล่พวกเขาออกได้จริงๆ ในเมื่อเด็กๆ จะทะเลาะกันเล็กๆ น้อยๆ เป็นเรื่องปกติ และมีคนจำนวนมาก จะลงโทษคนส่วนรวมทีเดียวได้อย่างไร
ดังนั้น ลูกหลานยากจนไม่ได้มาฟ้อง เขาก็ทำเป็นไม่รับรู้ ไม่ไปขุดเรื่องนี้
แต่เพื่อป้องกันมิให้มีสถานการณ์รุนแรงจนควบคุมไม่อยู่ เจี้ยนจงก็เลือกที่จะอยู่ในชิงหยวนให้มากที่สุด ใช้อำนาจบารมีของเขาคุ้มหัวไว้
ตราบใดที่เขาอยู่ที่นั่น ลูกศิษย์เหล่านั้นก็ไม่กล้าเล่นแง่
แต่นั่นก็เป็นแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ
หลิงเฉิงเป็นลูกชายของหลินฟ่างที่ได้มาตอนแก่ อายุได้ 12 ปี หุ่นอ้วนตุ๊ต๊ะดูน่ารัก แต่มีสันดานค่อนข้างยโสโอหัง เห็นได้ว่าเขาถูกโปรดปรานจนเสียนิสัยมาจากที่บ้าน
ไม่เช่นนั้น เขาคงไม่โตมามีนิสัยเช่นนี้
รักลูกตามใจลูกก็เสมือนกับฆ่าลูก
นับตั้งแต่มาถึงต้าเว่ยจนถึงปัจจุบัน เซียวเฉวียนได้เห็นตัวอย่างลักษณะนี้มาไม่น้อย อย่างจูชงรายนั้น ก็เป็นเยี่ยงอย่างรายหนึ่ง
ประกาศเสร็จปั๊บ เซียวเฉวียนไม่ได้ถือโอกาสเทศนาแต่อย่างใด หันหลังให้และเดินจากไปทันที ทิ้งให้เหล่าลูกศิษย์สับสนวุ่นวายอยู่ตรงนั้น
นี่จบแค่นี้หรือ ?
อาจารย์เซียวอุตส่าห์มาที่นี่ทีหนึ่ง ไม่พูดอะไรอย่างอื่นบ้างเลยหรือ ?
อาจารย์เซียวก็สมกับอาจารย์เซียว มาไวไปไวเฉียบขาดเหมือนดั่งเช่นเคย
ไม่เหมือนกับอาจารย์เว่ย ก็เว่ยเป้ยนั่นแหละ ประชุมทีไรบ่นไม่จบไม่สิ้น
ลูกศิษย์ต่างสับสนไม่หาย ทำไมเว่ยเป่ยอายุน้อยๆ แต่เป็นคนขี้จู้จี้จุกจิกที่สุด ?
คิดเท่าไรก็คิดไม่ตกจริงๆ
ยังดีที่มีการประชุมร่วมกันแค่เดือนละสองครั้ง ไม่งั้นพวกเขาจะต้องเป็นโรคประสาทเพราะปากของเว่ยเป้ยแน่ๆ
แต่ว่า สิ่งสำคัญแน่ๆ ในปัจจุบันไม่ได้อยู่ที่ปัญหาการจู้จี้จุกจิกในการประชุม แต่ต้องจดจำไว้เสมอว่าจะต้องไม่สร้างปัญหาขึ้นในชิงหยวนอีกต่อไป
มิฉะนั้น หลินเฉิงก็จะเป็นชะตากรรมของพวกเขา
เกี่ยวกับชะตากรรมของหลินเฉิง มีแต่พวกเด็กจากตระกูลผู้ดีเท่านั้นที่ให้ความเห็นใจและสงสาร เด็กๆ จากครอบครัวยากจนโดยเฉพาะผู้ที่เคยถูกเขารังแกมาต่างก็ปรบมืออย่างดีอกดีใจ
มีเซียวเฉวียนให้การหนุนหลังพวกเขาและอำนวยความเป็นธรรมให้กับพวกเขา มาดูกันว่าลูกหลานจากตระกูลชั้นสูงจะกล้ามาหยิ่งผยองถึงขนาดนี้อีกหรือไม่ในวันข้างหน้า !
ฮึ !
สมน้ำหน้ามันแท้ๆ !
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...