เมื่อชิงหลงได้ฟังคำพูดนี้แล้ว แต่รู้สึกดูไม่เหมาะสมอย่างมาก
ยังอายุไม่ถึงหนึ่งขวบแต่พูดได้แล้ว ก็นับว่าฉลาดมาก ชิงหลงรู้สึกว่าพอรับได้ ในเมื่อเซียวเฉวียนและองค์หญิงเป็นบุคคลที่พิเศษ จะมีลูกสาวที่ฉลาด ก็เป็นเรื่องปกติ
แต่อายุยังไม่ถึงหนึ่งขวบก็บินได้ มันไม่ใช่ฉลาดธรรมดาแล้ว พูดจริงๆว่า ถึงแม้จะเป็นพรสวรรค์ที่มีมาตั้งแต่เกิดก็ไม่น่าจะมีพรสวรรค์อย่างนี้ได้
เซียวหมิงชิวเป็นคนหรือไม่?
หรือว่าเป็นนางฟ้าน้อยลงมาเกิด?
ชิงหลงอดไม่ได้ที่จะมองดูเซียวหมิงชิวอีกครั้ง ในใจก็พยายามครุ่นคิด ฮวาเซี่ยมีความแปลกประหลาดมากมาย?
ตั้งแต่เซียวเฉวียนที่มาจากฮวาเซี่ย ข้างกายมีดาบวิญญาณยังไม่พอ แม้แต่เจี้ยงจงก็ยังต้องการให้เขาเป็นนายท่าน นี้ยังไม่พอ ลูกสาวของเขายังดื้อรั้นอย่างนี้
เด็กน้อยที่อายุยังไม่ถึงขวบ ทำไมถึงสามารถบินได้ละ?
เห็นสีหน้าที่เหลือเชื่อของชิงหลงแล้ว เซียวหมิงชิวเอียงหัวเล็กน้อยพูดถามขึ้นว่า “ลุงชิงหลง ข้าไม่เหมือนกับคนอื่นจริงๆใช่ไหม?”
ทำไมท่านพ่อที่มาจากฮวาเซี่ยในยุคปัจจุบันมีประสบการณ์และความรู้มากมาย พอรู้ว่าข้ามีความสามารถเหล่านี้ ก็มีสีหน้าแบบนี้เช่นกัน
เพื่อไม่ให้ท่านพ่อท่านแม่เป็นกังวล เซียวหมิงชิวให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เชื่อฟังอยู่แต่ในตำหนักข้างๆ ไม่เคยออกไปเห็นเด็กคนอื่นๆ
ในสิ่งที่นางรู้ เด็กทุกคนก็เป็นเหมือนนาง อายุยังไม่ถึงหนึ่งขวบก็สามารถพูดได้ เดินได้ บินได้
ความสามารถพิเศษที่ไม่เหมือนใครที่นางเข้าใจคือ เช่นสามารถได้ยินสิ่งที่คิดอยู่ในใจได้ สามารถทำลายตราประทับได้
นางรู้ว่าแม่ของนางไม่สามารถได้ยินสิ่งที่คนอื่นคิดอยู่ในใจได้ และตั้งแต่ตอนนั้นที่เห็นท่าทางการตอบสนองของเซียวเฉวียน เซียวหมิงชิวก็รู้ว่าตราประทับยากที่จะถูกทำลายได้
แต่นางรู้สึกว่า การเดินได้ พูดได้ บินได้ เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้ เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ตั้งแต่เป็นเด็ก
ถึงแม้ว่านางจะไม่เคยเห็นท่านแม่บินได้มาก่อน แต่เธอเคยเห็นเสวี่ยเยี่ยน พี่สาว และยังมีคนอีกมากมายที่จวนเซียวที่สามารถบินได้
เมื่อได้ยินคำพูดอย่างนั้น ชิงหลงเกือบจะสำลักน้ำลายออกมา
การเดินการพูด เป็นความสามารถที่ทุกคนต้องมี แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่อายุยังไม่ถึงหนึ่งขวบก็จะสามารถทำอย่างนี้ได้
การบินได้ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารทำได้ จะต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนัก
เด็กน้อยอย่างเสี่ยวเซียนชิว มีแค่เพียงหนึ่งในหมื่นเท่านั้น!
หาได้ยากอย่างมาก!
ที่จริงแล้วคิดว่าเซียวเฉวียนมีลูกสาวที่ดื้อรั้นมีความสามารถอย่างนี้ เขาได้เป็นพ่อถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด แต่ชิงหลงคิดไม่ถึงว่า ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเซียวเฉวียนยังมาไม่ถึง
คนที่ดื้อรั้นและมีความสามารถทั้งสองคนนี้ ลูกสาวก็มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม สวยจนทำให้เซียวเฉวียนตกตะลึง
แต่ เมื่อเผชิญหน้ากับเด็กน้อยคนหนึ่ง แน่นอนชิงหลงก็ไม่ได้พูดอะไรกับนางมาก พูดให้น้อยไว้จะดีกว่า
ชิงหลงน้ำเสียงอ่อนโยนพูดว่า “แน่นอนไม่ใช่ว่าเด็กทุกคนจะเก่งกาจอย่างหมิงชิว”
หมิงชิวของพวกเรา
ลูกสาวอย่างนี้ ชิงหลงก็อยากมีอย่างนี้เหมือนกัน!
แต่ว่าชิงหลงรู้ตัวเองดี รู้ว่าตัวเองไม่ได้โชคดีอย่างนั้นที่จะได้มีลูกสาวที่เก่งอย่างนี้ได้ ก็ทำได้เพียงแค่อิจฉาเท่านั้น
เซียวหมิงชิวที่ได้ยินความคิดในใจของชิงหลง ดวงตากรอกไปมา ในใจคิดอะไรขึ้นมาได้ ดวงตาทั้งสองข้างของเธอเป็นประกายมองชิงหลง
เมื่อครู่เพิ่งจะร้องไห้มา น้ำเสียงจึงแหบเล็กน้อยพูดขึ้นว่า “ลุงชิงหลง ถ้าท่านมีวิธีที่ทำให้ท่านแม่ของข้าไม่ต้องร้องไห้อีก ข้าจะบอกกับท่านพ่อว่า จะให้ท่านเป็นพ่อบุญธรรมของข้าดีไหม?”
มองเห็นองค์หญิงยิ่งร้องไห้เสียใจ ในใจของเซียวหมิงชิวรู้สึกเสียใจอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้จะปลอบอย่างไร ไม่รู้จะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้องค์หญิงร้องไห้เสียใจอย่างนี้
เมื่อพูดออกไปแล้ว ชิงหลงตกตะลึงเล็กน้อย
แต่ว่า เซียวหมิงชิวมาความสามารถมากมายเช่นนี้ เหมือนถูกกำหนดไว้แล้วว่านางไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป
หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ พระเจ้าประทานความสามารถที่แตกต่างจากคนทั่วให้พวกนาง ก็ต้องให้พวกนางทำในสิ่งที่คนทั่วไปไม่สามารถทำได้
ก็เหมือนกับเสี่ยวเซียนชิว ความสามารถในการต่อสู้ที่ไม่ธรรมดาของนาง กำหนดให้นางไม่เหมือนกับผู้หญิงคนอื่นที่ถูกเลี้ยงดูให้เป็นกุลสตรีอยู่แต่ในบ้าน
แม้ว่าเซียวเฉวียนหวังอยากให้นางเป็นเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ เลี้ยงดูให้เป็นกุลสตรีอยู่แต่ในบ้าน ห่างไกลจากอันตราย
แต่ตัวนางเองกลับไม่พอใจ นางชอบฝึกฝนเล่นปืนเล่นดาบ ชอบฆ่าฟัน ได้ต่อสู้เคียงข้างเซียวเฉวียน จะให้นางหยิบเข็มขึ้นมาเย็บปักถักร้อย เป็นเรื่องยากอย่างมาก
ถึงแม้ว่าเสี่ยวเซียนชิวจะไม่ใช่ลูกแท้ๆของนาง แต่ก็เรียกนางก็เรียกองค์หญิงว่าแม่อย่างจริงใจ องค์หญิงก็เห็นนางเป็นเหมือนลูกแท้ๆของตัวเอง ในฐานะแม่ แน่นอนว่าองค์หญิงก็หวังให้ลูกสาวทั้งสองเป็นเหมือนกับผู้หญิงทั่วไปคนอื่น เลี้ยงดูให้เป็นกุลสตรีอยู่แต่ในบ้าน ห่างไกลจากอันตราย ใช้ชีวิตมีความสุขโดยไม่ต้องกังวลสิ่งใด
โดยเฉพาะเมื่อได้รู้ว่ากษัตริย์ทรงประชวรหนัก องค์หญิงยังคงเสียใจอย่างมาก คนที่เศร้าเสียใจมาก ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล
ถ้าในอนาคตลูกของนางเกิดเป็นอันตรายอะไรขึ้นมา นางจะทำอย่างไร?
พอคิดไปคิดมา ทันใดนั้นองค์หญิงทนไม่ได้น้ำตาก็เอ่อล้นอยู่รอบดวงตา
เซียวหมิงชิวเห็นอย่างนั้น ก็รีบพูดปลอบใจ “ท่านแม่ ท่านร้องไห้อีกแล้ว?ท่านสบายใจได้ ไม่มีใครสามารถทำอะไรหมิงชิวได้”
ก็เหมือนที่เซียวเฉวียนเคยพูดว่า นางเก่งมากขนาดนี้ จะมีใครจะสามารถทำร้ายนางได้ละ
เมื่อได้ยินอย่างนั้น องค์หญิงก็ยิ่งร้องไห้น้ำตาไหล เด็กตัวเล็ก จะต้องมาปลอบนาง ในขณะเดียวกันองค์หญิงก็ถอนหายใจที่เซียวหมิงชิวมีความเข้าใจถึงจิตใจคนอื่นเป็นอย่างดี และก็รู้สึกละอายใจด้วย
ตลอดทางมานี้ ชิงหลงถูกแม่ลูกสองคนนี้ทำให้รู้สึกทั้งประหลาดใจและหมดหนทางไม่รู้จะทำอย่างไร
เขาไม่มีความสามารถในการปลอบใจคนจริงๆ เขาทำได้เพียงเร่งเดินทางให้เร็วขึ้น
ยังดีที่ตอนที่ชิงหลงกำลังพยายามอยู่นั้น เวลาในการเดินทางก็สั้นลงมากแล้ว
ที่จริงแล้วที่ชิงหลงไม่รู้ก็คือ เซียวหมิงชิวรู้แล้วว่าผู้ใหญ่ทั้งสองคน คนหนึ่งรีบที่จะพาคนไปส่ง อีกคนหนึ่งรีบอยากจะได้เจอกษัตริย์ ไม่มีใครรู้ว่านางเป็นคนช่วยชิงหลง ทำให้การเดินทางมีระยะทางสั้นลง เวลาเพียงครึ่งวันก็มาถึงที่พระราชวังซินเจียง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...