เพื่อความสะดวกในการติดต่อ เขายังสอนวิชาสื่อเสียงทางไกลให้กับสือหลิ่วด้วย
สือหลิ่วเป็นคนฉลาด เซียวเฉวียนเชื่อว่าหากเธอฝึกฝนตามคำแนะนำของเซียวเฉวียน เธอสามารถเรียนรู้ที่จะสื่อเสียงระยะพันลี้ได้ในอีกไม่นาน
ที่เมืองหลวงแห่งต้าเว่ย
ที่ตำหนักรองในตำหนักของเม่ยซี
ตั้งแต่กลับมาจากภูมิภาคตะวันตก องค์หญิงก็อยู่ในอาการโศกเศร้าเสียใจมาตลอด
ทั้งคนดูอิดโรยไปไม่น้อย ดูไม่มีชีวิตชีวา
เฉพาะเวลาที่มีเซียวหมิงชิวอยู่ต่อหน้า เธอถึงจะมีรอยยิ้มฝืนๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
ไม่ต้องพูดถึงเสวี่ยเยี่ยน แม้แต่เด็กน้อยๆ อย่างเซียวหมิงชิวก็สามารถมองออกว่า องค์หญิงจมปักอยู่ในความเศร้าสลดจากการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์และไม่อาจถอนตัวออกมาได้
แต่ในสองคนนี้ คนหนึ่งยังเด็กน้อยเกินไปที่จะปลอบใจคน อีกคนหนึ่งก็เข้าใจว่าเรื่องอย่างนี้ ไม่ว่าคนอื่นจะพูดยังไงก็ไร้ประโยชน์ เธอต้องถอนตัวออกมาด้วยตัวเธอเองเท่านั้น
แต่พอเห็นสภาพองค์หญิงเศร้าโศกมากยิ่งขนาดนี้ เสวี่ยเยี่ยนเป็นห่วงว่า เป็นเช่นนี้ต่อไป องค์หญิงจะทรุดหนัก จะล้มป่วย
เป็นห่วงอะไรสิ่งนั้นก็เกิดขึ้นจริง
ในวันที่สิบ เสวี่ยเยี่ยนไปปลุกองค์หญิงเพื่อรับประทานอาหารเช้าตามปกติ เรียกเท่าไรก็ไม่มีเสียงรับ เสวี่ยเยี่ยนใจคอไม่ดี เอะใจว่าแย่แล้ว
เห็นว่ามีบางอย่างไม่ปกติ เสวี่ยเยี่ยนจึงไม่คิดมาก เธอกระทืบประตูให้เปิดออก
ทันทีที่เข้าไปก็เห็นองค์หญิงนอนอยู่บนเตียง สีหน้าแดงก่ำราวกับถูกไฟเผา
เสวี่ยเยี่ยนต้องเอื้อมมือไปแตะหน้าผากขององค์หญิง พบว่าหน้าผากของเธอร้อนมาก ปากยังคงพึมพำว่า "ท่านพ่อ ท่านพ่อ"
เห็นสภาพนี้ เสวี่ยเยี่ยนอดที่จะรู้สึกเศร้าตามไม่ได้ น้ำตาเอ่อขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
องค์หญิงพักอาศัยอยู่ในวังเป็นความลับ จึงไม่สามารถตามหมอหลวงในวังได้ หมอจากภายนอกก็เชิญมาไม่ได้เช่นกัน
ทำยังไงดี ?
เสวี่ยเยี่ยนร้อนใจจนดั่งมดปีนขึ้นบนหม้อต้ม เวียนหัวไปหมด
ทันใดนั้นเสวี่ยเยี่ยนนึกขึ้นได้ มู่จิ่นที่พักอยู่ในจวนเซียว ก็เป็นหมอไม่ใช่หรือ ?
ดังนั้น เสวี่ยเยี่ยนจึงเตรียมตัวไปโรงเรียนชิงหยวน เพื่อแอบพามู่จิ่นมาเงียบๆ
ในเวลานี้เอง เซียวหมิงชิววิ่งเข้ามาจากข้างนอก บอกว่าอยากเล่นกับแม่ เห็นแม่ยังคงนอนอยู่บนเตียง หน้าตาเบลอๆ พร่ำเรียกแต่ "ท่านพ่อ ท่านพ่อ"
และเสวี่ยเยี่ยนก็ดูตาเปียกๆ เหมือนจะร้องไห้ เซียวหมิงชิวก็รู้ทันทีว่ามีอะไรไม่ดีแล้ว
เธอเงยหน้าขึ้นมองดูเสวี่ยเยี่ยนแล้วถามว่า “พี่เสวี่ยเยี่ยน แม่เป็นอะไรไป ?”
เสวี่ยเยียนปาดน้ำตาออก ย่อตัวลงแล้วพูดเบา ๆ “หนูหมิงน้อย องค์หญิงไม่สบาย ผู้น้อยจะออกไปตามหมอมาให้องค์หญิงตอนนี้ เจ้ามาเฝ้าดูแลองค์หญิงที่นี่หน่อย ตกลงไหม ?”
เพื่อแยกความแตกต่างระหว่างเซียนชิวน้อยและเซียวหมิงชิว เสวี่ยเยี่ยนจึงเพิ่มคำว่า “เซียน” และ “หมิง” ที่ชื่อของนายน้อย
เซียวหมิงชิวพยักหน้าและพูดว่า "ตกลง"
ดังนั้น เสวี่ยเยี่ยนก็ลุกขึ้นและเคลื่อนตัวหายไป
เวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งถ้วยชา เสวี่ยเยี่ยนก็กลับมาพร้อมกับมู่จิ่น
กระทั่งมาถึงพระราชวัง มู่จิ่นยังดูงงๆ อยู่
ตอนนั้นตัวเองกำลังเตรียมจะไปสอนหนังสือ กำลังเดินออกจากประตูห้องธุรการ ก็โดน “ลมกระโชกแรง” พัดพามาถึงนี่โดยไม่รู้อะไรเลย
มู่จิ่นไม่เห็นแม้แต่การปรากฏตัวของเสวี่ยเยี่ยนให้ชัดเจน
ทันทีที่เท้าของเขาแตะพื้น มู่จิ่นก็เตรียมจะชักปืนออกมาด้วยสัญชาตญาณ
แต่ว่าปืนยังไม่ทันจะชักออกมา ก็ได้ยินเสียงที่พูดอย่างกังวลของเสวี่ยเยี่ยน "คุณชายมู่จิ่น ขอร้องท่านช่วยดูองค์หญิงเร็วๆ เธอเป็นไข้สูงมาก"
มู่จิ่นมองใกล้ๆ และเห็นเสวี่ยเยี่ยน จึงระงับการชักปืนและไอแห้ง ๆ เพื่ออำพรางอาการเคอะเขิน
ในเวลานี้ มีเสียงในลำคอดังมาจากด้านหลังเขา "ท่านพ่อ ท่านพ่อ"
มู่จิ่นหันกลับไป เห็นใบหน้าขององค์หญิงแดงก่ำ นึกสะดุ้งในใจ “ทำไมถึงได้ป่วยหนักขนาดนี้ ?”
เขาเป็นหมอที่เก่ง เห็นปั๊บก็รู้ทันทีว่าองค์หญิงป่วยไม่ใช่เบา
ป่วยหนักถึงขนาดนี้ องค์หญิงยังไม่ลืมร้องเรียกท่านพ่อ ช่างเป็นพ่อลูกที่รับกันมากอย่างแท้จริง
เนื่องจากเมืองหลวงต้าเว่ยอยู่ห่างไกลจากภูมิภาคตะวันตก ข่าวสวรรค์คดของกษัตริย์แห่งภูมิภาคตะวันตกยังมาไม่ถึงเมืองหลวง
ต้องขอบคุณที่เสวี่ยเยี่ยนไปตามมาทันเวลา หากช้าไปชั่งโมงครึ่งชั่วโมง มู่จิ่นก็ไม่อาจรับประกันได้
อาการป่วยขององค์หญิงไม่เพียงแค่เป็นไข้เท่านั้น ชีพจรของเธอเดี๋ยวแข็งเดี๋ยวอ่อน ไม่เสถียรอย่างมาก
หากไม่ได้รับการรักษาทันเวลา อาจลามถึงภายใน อาจถึงแก่ชีวิตได้
เมื่อถึงเวลานั้น ถึงเทพเจ้ามา ก็ยากที่จะช่วยเธอได้
ความเจ็บป่วยขององค์หญิงมีเหตุมาจากความโศกเศร้าเกินไปอย่างเห็นได้ชัด อารมณ์กดดันเป็นต้นเหตุ
ดูจากหน้าตาอิดโรยของเธอ เกรงว่าอยู่ในสภาพนี้จะไม่ใช่แค่วันสองวันแล้ว
อาการร้ายแรงขนาดนี้ เซียวเฉวียนไม่รู้เรื่องหรือ ?
หรือพวกเขาไม่ได้บอกเซียวเฉวียนเลย ?
เสวี่ยเยี่ยนทำท่าอ้อมแอ้มอยู่นานและพูดว่า "คุณชายมู่จิ่น ท่านเขยไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง"
ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงหรือ ?
แล้วทำไมไม่ตามเขากลับมา ?
มีอะไรสำคัญกว่าชีวิตของคนหรือ ?
มู่จิ่นต้องพึ่งพายายของเขาตั้งแต่ยังเด็ก เขาจึงเห็นคุณค่าของความสัมพันธ์ทางครอบครัวเป็นอย่างมาก
หวงแหนคนรอบข้างเป็นพิเศษ
ในความคิดของเขา ไม่ว่าจะมีเรื่องสำคัญแค่ไหน ก็ไม่สำคัญเท่ากับญาติของตัวเอง
องค์หญิงปวดถึงขนาดนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่มีอาการตั้งต้นมาก่อน อาการก็ไม่ได้พัฒนาถึงขนาดนี้ในเวลาแค่วันสองวัน
มีเวลาเพียงพอให้เซียวเฉวียนจะพบเจอ จะรับมือตอบสนอง
แต่แล้ว องค์หญิงมาป่วยถึงขนาดนี้ ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของเซียวเฉวียน พูดตามตรง ครั้งนี้มู่จิ่นเคืองมากๆ
เซียวเฉวียนดีไปทุกอย่าง แต่ครั้งนี้เขาทำผิด และผิดอย่างมหันต์ด้วย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...