ถึงได้เหนื่อยเช่นนี้อย่างไรเล่า?
ต่อให้เจ้าคุกเข่าอย่างไร เซียวเฉวียนก็ไม่มีทางพบเจ้า เจ้ายังจะตายใจอยู่อีกนะ
เมื่อเฉินเหยาพูดจบ เซียวเฉวียนก็มองไปยังชาวบ้านด้วยสายตาเรียบเฉย โดยไม่พูดสิ่งใด
จากนั้นก็คุกเข่าต่อไป ใช้ท่าทางบอกชาวบ้าน ไม่สิ ข้าต้องคุกเข่า ข้าต้องคุกเข่าจนกว่าเซียวเฉวียนจะยอมพบข้า
หากมีใจมุ่งมั่น คิดจะทำการอันใดย่อมไร้อุปสรรค
เฉินเหยาเชื่อ ตราบใดที่เธอคุกเข่านานเท่าไหร่ เซียวเฉวียนจะต้องเจอนาง
เฉินเหยาคุกเข่าพลางตะโกนเรียก “ใต้เท้าเซียว เฉินเหยามีเรื่องอยากเข้าพบท่าน”
จนเวลาล่วงเลย ชาวบ้านที่มามุงล้อมมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ
ช่างน่าแปลกใจยิ่งนัก เมื่อครู่ยังต่อต้านเซียวเฉวียนอยู่เลย พอมาตอนนี้ทำไมถึงมาคุกเข่าให้เซียวเฉวียนเสียได้?
เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริง ๆ
เมืองหลวงห่างหายจากเรื่องที่คาดไม่ถึงเช่นนี้มานานแค่ไหนแล้ว
การกระทำของเฉินเหยา ทำให้ชาวบ้านพากันซุบซิบนินทา
พวกเขาแปลกใจมาก เฉินเหยาคนนี้ตั้งใจจะขายอะไรกันแน่
ภายใต้การคุกเข่าและการขานเรียกของเฉินเหยา ท่ามกลางความคาดหวังของชาวบ้าน ในที่สุดประตูใหญ่ของจวนเซียวก็เปิดแง้ม
ทันทีที่ประตูเปิด เรียกว่าเป็นประตูแห่งความหวังของเฉินเหยาเลยก็ว่าได้ ในขณะเดียวกันความปรารถนาในใจของชาวบ้านก็คลุ้มคลั่งยิ่งขึ้น
พวกเขามองไปทางประตูเหล่านั้น พูดให้ถูกคือ มองร่างเงาที่ดูสูงส่งของเซียวเฉวียน
เขามาแล้ว!
เขาซาบซึ้งในความจริงใจของเฉินเหยาแล้ว ยอมเปิดประตูที่กั้นผู้คนนับพันจากด้านนอกแล้ว
ภายใต้การมุงดูของชาวบ้าน เซียวเฉวียนเอ่ยปากด้วยเสียงราบเรียบ “ฮูหยินหลิน ลุกขึ้นเถอะ”
แม้ว่าเซียวเฉวียนจะมาต้าเว่ยนานแล้ว ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ในต้าเว่ยได้แล้ว แต่ก็มีอีกเรื่อง ทำไมเขาถึงปรับตัวไม่ได้ เจ้าตัวถึงขั้นคุกเข่าอยู่ตรงหน้า
แน่นอนว่าความยากจนนั้นเป็นอีกเรื่อง
แต่เฉินเหยาไม่ใช่ เฉินเหยาเป็นแค่หญิงสาวผู้น่าสงสารคนหนึ่งเท่านั้น หากสามีของนางยังไม่ตาย ลูกชายของนางยังไม่ตาย นางคงไม่จับพลัดจับผลูมาอยู่ในสงครามแบบนี้ นางคงจะเป็นภรรยาที่ไร้ความกังวลต่อไป
เมื่อฟังจบ เฉินเหยาก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนภายใต้การประคองของเยว่เอ๋อร์
เรื่องที่ต้องคุยกัน เซียวเฉวียนรู้สึกว่ามันไม่เหมาะที่จะคุยต่อหน้าผู้คน
แต่การพาหญิงหม้ายเข้ามาในจวนท่ามกลางสายตาของทุกคน หากพ้นสายตาของทุกคน หากเฉินเหยามีใจคิดเป็นอื่น ต่อให้ชื่อเสียงของตัวเองเสื่อมเสีย ก็ต้องทำลายเซียวเฉวียนให้จงได้
มือสะอาดไม่จำเป็นต้องล้าง เซียวเฉวียนก็ไม่อยากพาตัวเองไปข้องเกี่ยว แต่เขาก็ไม่อยากให้รู้ถึงหูขององค์หญิง ทำให้องค์หญิงต่อเสียพระทัย
แม้ว่าองค์หญิงจะเชื่อใจเซียวเฉวียน แต่นางก็เป็นแค่สตรี เหมือนกับหญิงสาวทั่วไป ได้ยินข่าวลือระหว่างสามีกับหญิงสาวคนอื่น ก็ต้องเสียใจไม่น้อย
เซียวเฉวียนติดหนี้องค์หญิงมากเกินไป เขาไม่อยากให้องค์หญิงอารมณ์เสียกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ
ดังนั้นเซียวเฉวียนคงพาเฉินเหยาสองนายบ่าวเข้ามาในจวนเซียว โดยไม่ได้ปิดประตู และไม่ได้พาสองคนนั้นเข้าไปในห้อง
แต่ยืนอยู่ในลานกว้างแทน
ข้างนอกสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวด้านในได้ ต่อให้เฉินเหยาอยากจะทำร้ายก็ไม่มีโอกาส
แต่คนที่เข้ามาล้วนเป็นแขก เซียวเฉวียนคงทำลายชื่อเสียงของจวนเซียวไม่ได้ จะยอมให้ผู้คนนินทาว่าร้ายว่าตนเป็นถึงราชครูผู้สูงศักดิ์ แต่ไม่มีแม้แต่ม้านั่งและชาตอนรับแขก
ดังนั้นเซียวเฉวียนจึงตะโกนเรียก “เซียวเอ้อ ย้ายโต๊ะและม้านั่งออกมา ชงชาให้แขก”
คนที่โดนเรียกออกมาคือชายฉกรรจ์ผู้แข็งแรงกำยำสามถึงห้าคน อย่าว่าแต่สองนายบ่าวเฉินเหยาเลย ชาวบ้านข้างนอกก็พามีสีหน้าตื่นตระหนก
มันเกิดอะไรขึ้น?
จวนเซียวไม่มีสาวใช้ผู้หญิงสักคนเลยเหรอ?
ถึงกับต้องเรียกชายฉกรรจ์มาชงน้ำชา
เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริง ๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...