หลายชั่วโมงแล้วที่ยังไม่ได้ดื่มน้ำ รู้สึกกระหายน้ำจริงๆ
แค่เรื่องเดียวนี้ เซียวเฉวียนก็รู้สึกว่าการเป็นฮ่องเต้นั้นไม่มีความหมาย
ทุกวันตอนเช้า นั่งอยู่บนบัลลังก์ บางครั้งนั่งอยู่นานหลายชั่วโมง ไม่เพียงกระหายน้ำเท่านั้น แต่ยังต้องนั่งให้ถูกต้อง ไม่หลงทาง
นี่มันเหนื่อยแค่ไหน
บัลลังก์นี้ ไม่ว่าจะให้เซียวเฉวียนไปแย่งชิงหรือให้ฮ่องเต้มอบให้เซียวเฉวียน เซียวเฉวียนก็ไม่ต้องการ
บางครั้งเซียวเฉวียนคิดว่าคนโบราณเหล่านี้ช่างโง่เขลาจริงๆ การเป็นฮ่องเต้เป็นงานที่น่าเบื่อที่สุดในโลก พวกเขาเบียดเสียดกันจนหัวแตก ไม่แม้แต่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อทำลายเก้าตระกูลเพื่อแย่งชิงบัลลังก์นี้
เหมือนสวีซูผิงที่ใช้ชีวิตอย่างสบาย ๆ ในฐานะข้าราชการว่างเปล่าไม่ดีกว่าหรือ?
มีอะไรทำก็ทำ ไม่มีอะไรทำก็รู้เรื่องชาวบ้าน คุยเรื่องซุบซิบ ชีวิตช่างน่ารื่นรมย์
ด้วยความคิดเช่นนี้ เซียวเฉวียนถึงกับไม่ต้องการตำแหน่งอัครเสนาบดี
อัครเสนาบดีที่อยู่ใต้เท้าของผู้คนนับไม่ถ้วนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
มอบตำแหน่งอัครเสนาบดีให้จางจิ่น นอกจากจะทำให้ตัวเองมีชีวิตที่สะดวกสบายแล้ว ยังให้จางจินเป็นคนใจเย็นและทำให้จางจิ่นรู้สึกดีกับเซียวเฉวียนมากขึ้นอีกด้วย เป็นเรื่องที่คุ้มค่าสำหรับเซียวเฉวียน
ดังนั้น เมื่อฮ่องเต้มีความคิดที่จะให้เซียวเฉวียนเป็นอัครเสนาบดี เซียวเฉวียนก็ไม่อยากทำ
เดิมทีเซียวเฉวียนได้เป็นอาจารย์ใหญ่ก็เพียงพอที่จะทำให้คนอิจฉาแล้ว ยังให้ตำแหน่งอัครเสนาบดีให้เขาอีก คนที่ไม่เห็นด้วยจะต้องตาแดงเลือดออกมาเลยไหม?
ช่างเถอะ
เซียวเฉวียนก็ยังสะสมบุญอยู่บ้าง ปล่อยให้คนโบราณเหล่านี้มีชีวิตที่สบาย ๆ อย่ามองดูด้วยตาสีแดงสองข้างตลอดไป
เช่นเดียวกับวันนี้ ฮ่องเต้ได้เลื่อนยศให้จ้าวหลานและฉินหนานเป็นสามขุนนาง เหล่าขุนนางเหล่านั้นก็สามารถคิดได้มากมาย บอกว่าทั้งสองคนมีประสบการณ์ไม่เพียงพอ และบอกว่าอำนาจของเซียวเฉวียนเพิ่มขึ้น
พูดอะไรมากมาย ไม่มีอะไรมากไปกว่าไม่ยอมรับจ้าวหลานและฉินหนานอายุยังน้อยและปีนขึ้นไปบนหัวของพวกเขา
ไม่ใช่แค่สวีซูผิงที่กังวลอย่างแท้จริงว่าอำนาจของเซียวเฉวียนจะมากเกินไปและเป็นการคุกคามต่ออำนาจของฮ่องเต้ แต่สิบในแปดคนที่ต่อต้านอย่างหนักก็เพราะพวกเขาทนไม่ได้ที่จ้าวหลานและฉินหนานดีกว่าพวกเขาและคิดถึงผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก
ท้ายที่สุดแล้ว หากตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีและอัครมหาเสนาบดีได้รับการยืนยันจากทั้งสองคน ขุนนางคนอื่น ๆ จะไม่มีหวังเลย
มองดูเซียวเฉวียนวางถ้วยชาลง ฮ่องเต้อ้ำอึ้งอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงพูดเบา ๆ ว่า “ข้ามีเรื่องต้องปรึกษากับราชครู”
“อ้อ?ฝ่าบาท ทรงตรัสมาเถิด” เซียวเฉวียนมองฮ่องเต้ด้วยความหมายบางอย่าง
ในช่วงครึ่งปีมานี้ ดูเหมือนจะไม่มีเรื่องใดที่จะทำให้ฮ่องเต้ลำบากใจได้
ดังนั้น เซียวเฉวียนจึงอดสงสัยไม่ได้
เซียวเฉวียนคิดว่ามันอาจจะเป็นโรคที่รักษายาก แต่ฮ่องเต้กลับพูดอย่างน่าประหลาดใจ “ข้าจำได้ว่าราชครูเคยพูดว่า ต้นมันเทศจะเก็บเกี่ยวได้ภายในสามเดือนเช่นนี้ ต้นมันเทศที่ราชครูปลูก น่าจะเก็บเกี่ยวได้มากมายแล้วใช่ไหม”
ส่วนที่เหลือ เซียวเฉวียนเข้าใจไหม?
ฮ่องเต้แค่อยากกินมันเทศ
เขาอยากลองดูว่ามันเป็นอาหารชั้นเลิศแบบไหนที่ทำให้เซียวเฉวียนยกย่องอย่างนั้น
ตอนที่เซียวเฉวียนกำลังเผยแพร่มันเทศให้กับฮ่องเต้ ฮ่องเต้ก็พูดให้คันยุบยิบอยู่ตลอดเวลา และคิดถึงมันมาตลอด
เขารู้ว่าเซียวเฉวียนปลูกมันเทศเป็นจำนวนมากในเกาะนกกระสา และถึงตอนนี้น่าจะเก็บเกี่ยวได้ไม่น้อย
ความหมายโดยนัยของฮ่องเต้ต้องการให้เซียวเฉวียนส่งมันเทศไปที่พระราชวัง
นี่
เซียวเฉวียนไม่คาดคิดว่าฮ่องเต้จะเรียกเขามาเป็นพิเศษเพื่อมันเทศ
มันแปลกเกินไปแล้ว
ยังมีความสง่างามและความสูงส่งของฮ่องเต้อยู่หรือไม่?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...