ซูเปอร์ลูกเขย นิยาย บท 1627

เธอวิ่งออกไปได้ไม่กี่ก้าว เสวี่ยเยี่ยนก็ยกน้ำชาเข้ามาพอดี

หากไม่ใช่เพราะเสวี่ยเยี่ยนมีไหวพริบและหยุดทันที เซียวหมิงชิวก็เกือบเอาหัวของเขาไปชนแล้ว

เสวี่ยเยี่ยนพูดเบาๆว่า:“ประมุขน้อยหมิงโปรดช้าๆหน่อย”

เซียวหมิงชิวเงยหน้าขึ้นมามองแล้วยิ้มให้เสวี่ยเยี่ยน และพูดด้วยน้ำเสียงน่ารักๆว่า"เสวี่ยเยี่ยนกูกู ขอโทษ คราวหน้าหมิงชิวจะระมัดระวังให้มากขึ้นกว่านี้ โชคดีที่ยังไม่โดนชน"

ปฏิกิริยานี้ทำให้เสวี่ยเยี่ยนรู้สึกอบอุ่นในใจ แม้ว่าเด็กน้อยคนนี้อายุยังน้อยแต่ก็รู้เรื่องมาก

เสวี่ยเยี่ยนกลัวเธอจะโดนชน แต่เธอกลับกล่าวขอโทษเสวี่ยเยี่ยน และรู้สึกว่าเธอสร้างปัญหาให้กับเสวี่ยเยี่ยน

คนอะไรตัวเล็กน่ารักจังเลย

มุมปากของเสวี่ยเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะยกขึ้นเล็กน้อย และพูดว่า:"หนูปี้ไม่เป็นอะไร แต่กลัวประมุขน้อยหมิงจะเป็นอะไรมากกว่า"

เซียวหมิงชิวกระพริบตาโตที่สดใสแล้วพูดว่า:"ข้าไม่เป็นอะไร ข้าจะออกไปเล่นแล้ว เจ้าไปทำธุระของเจ้าเถอะ"

หลังจากพูดอย่างนั้น เซียวหมิงชิวก็เดินออกจากประตูไป

เมื่อองค์หญิงเห็นสิ่งนี้ก็กำชับว่า:"หมิงชิว อย่าไปไกล"

เซียวหมิงชิวตอบอย่างคล่องแคล่ว“ข้ารู้แล้ว ท่านแม่”

ภูเขาหมิงเซียนแห่งซินเจียง

ภูเขาหมิงเซียนในเวลานี้ มองไปไกลๆทุกสายตาสามารถมองเห็นได้เต็มไปด้วยกิ่งก้านดำๆและดินสีดำ

ทั้งหมดที่เห็นเต็มไปด้วยความเศร้าสลดยิ่งนัก

เมื่อเทียบกับตอนที่นักปราชญ์จากไปจากที่นี่แล้ว ภูเขาหมิงเซียนนั้นว่างเปล่าไปมาก

ต้นไม้จำนวนมากถูกตัดลง

ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าชาวบ้านแถวนั้นเป็นคนทำ

เมื่อก่อนมีผู้คนของสำนักหมิงเซียนพักอาศัยอยู่บนภูเขาหมิงเซียน พวกเขาไม่อนุญาตให้ชาวบ้านแถวนั้นมาตัดไม้สับฟืนที่นี่

แต่ตอนนี้สำนักหมิงเซียนไม่มีอีกต่อไป ภูเขาหมิงเซียนก้ไม่มีใครดูแลอีกเลย ชาวบ้านแถวนั้นจึงมีแนวคิดที่จะตัดไม้สับฟืนของภูเขาหมิงเซียน

ฟืนมีไว้เผาอยู่แล้วดำหน่อยก็ไม่เป็นไร ดีกว่าการที่พวกเขาไปตัดที่อื่นเยอะเลย

แต่นักปราชญ์กลับมาแล้ว แม้ว่าต้นไม้พวกนี้จะถูกเผาจนตายแล้ว เขาก็ไม่ยอมให้ชาวบ้านที่อยู่แถวนั้นสับฟืนเหล่านั้นลง

เดิมทีสำนักหมิงเซียนก็ว่างเปล่าอยู่แล้ว ต้นไม้แห้งๆพวกนี้ถูกตัดออกไปอีก ไม่อยากคิดเลยว่ามันจะเป็นอย่างไร?

ดังนั้นนักปราชญ์จึงแสร้งทำเป็นผีหลอกและทำให้ชาวบ้านทุกคนที่ขึ้นไปสับฟืนกลับตกใจเป็นเช่นนี้อยู่หลายวัน ต่อจากนั้นมาไม่ต้องพูดถึงการสับฟืนเลย แม้แต่คนเดินผ่านไปที่ตีนเขาก็ยังไม่มีเลย

คนโบราณกลัวมากที่สุดก็คือผีสางเทวดา ภูเขาหมิงเซียนครั้งหนึ่งเคยตั้งเป็นสำนักหมิงเซียน เทียนเต๋าซึ่งเป็นตัวแทนของกองบัญชาการสูงสุด แม้ว่าสำนักหมิงเซียนจะเสื่อมถอยลง แต่ชาวบ้านก็ยังคงเคารพสำนักหมิงเซียนเช่นเคย

หลังจากความหวาดกลัวครั้งนี้ พวกชาวบ้านคิดว่าพฤติกรรมการตัดฟืนของพวกเขาได้รบกวนจิตวิญญาณของสำนักหมิงเซียน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าเข้าไปใกล้ภูเขาหมิงเซียนอีกต่อไป เพราะกลัวว่าพวกเขาจะโชคร้ายและตาย

การเอาชีวิตให้รอดเป็นสิ่งสำคัญ สามารถไปสับฟืนไกลหน่อยได้

ด้วยเหตุผลนี้ จึงมีข่าวลือในหมู่ผู้คนว่าภูเขาหมิงเซียนถูกผีหลอก ซึ่งทำให้ผู้คนกลัวและไม่กล้าเข้าใกล้ภูเขาหมิงเซียนมากยิ่งขึ้น

ด้วยวิธีนี้ นักปราชญ์จึงได้รับโอกาสให้หยั่งรากด้วยความอุ่นใจในสำนักหมิงเซียน

ไม่มีใครมารบกวน และนี่คือสิ่งที่นักปราชญ์ต้องการ

หลังจากจัดการกับพวกชาวบ้านแล้ว นักปราชญ์ก็เริ่มเก็บเมล็ดพันธุ์จากดอกไม้ต้นไม้ และต้นไม้ต่างๆ หลังจากเก็บได้แล้วเขาก็โปรยมันไปทั่วภูเขาหมิงเซียน

ตราบใดที่เมล็ดเหล่านี้หยั่งรากแตกหน่อและเติบโต ภูเขาหมิงเซียนก็จะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งในที่สุด

แม้ว่านักปราชญ์จะรู้ว่ามันเป็นเรื่องยากมากสำหรับพืชที่จะเติบโตในสถานที่ที่ถูกเผาด้วยเพลิงชุ้ยเจี้ยน แต่เขาก็จะลองดู

สำนักหมิงเซียนเป็นตัวแทนของเทียนเต๋า และภูเขาหมิงเซียนเป็นสถานที่ที่ถูกเลือกโดยสวรรค์ ไม่แน่พระเจ้าจะคุ้มครองก็ได้ นักปราชญ์หว่านเมล็ดพืชเหล่านี้เพื่อหยั่งรากและแตกหน่อ

มันต้องลองดูถ้าไม่ลองทำดู จะเห็นปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้อย่างไร?

เพื่อให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้น หลังจากที่นักปราชญ์ได้หว่านเมล็ดพืชลงแล้ว และเริ่มทำฝนเทียมบนภูเขาหมิงเซียน

ดังนั้น ชือหลิวจึงรีบติดต่อกับเซียวเฉวียนทันที

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าชือหลิวจะฝึกฝนศิลปะในการส่งสัญญาณเสียงเป็นระยะทางหลายพันไมล์อย่างขยันขันแข็ง แต่ความแข็งแกร่งภายในของเธอมีจำกัด อีกอย่างซินเจียงและเมืองหลวงของต้าเว่ยนั้นหางกันไกลมาก เธอไม่สามารถติดต่อกับเซียวเฉวียนได้แม้จะพยายามหลายครั้งก็ตาม

สิ่งนี้ทำให้ชือหลิววิตกกังวลมาก

จะว่าไปแล้วมันคือความประมาทเลินเล่อของเซียวเฉวียนเอง ศิลปะในการส่งสัญญาณเสียงที่ยาวกว่าพันไมล์เป็นเรื่องง่ายสำหรับเขาเนื่องจากพลังของเขานั้นแข่งแกร่ง

และเขาคิดว่าแค่ฝึกฝนตามวิธีนั้นก็พอแล้ว เขาไม่ได้ทำความเข้าใจว่าการส่งสัญญาณเสียงเป็นระยะทางหลายพันไมล์นั้นต้องใช้ความแข็งแกร่งภายในถึงจะส่งได้

ยกตัวอย่างเช่น เซียวเฉวียนและซือหลิวถูกเปรียบเทียบกับโทรศัพท์มือถือสองเครื่อง การส่งสัญญาณผ่านเสียงที่ยาวกว่าพันไมล์นั้นถูกเปรียบเทียบเหมือนซิมโทรศัพท์ และพลังภายในที่ลึกล้ำนั้นคือสัญญาณ

ความแรงของสัญญาณนั้นเป็นตัวกำหนดว่าการโทรระหว่างเซียวเฉวียนและซือหลิวจะสำเร็จหรือไม่

แม้ว่าซือหลิวเป็นกังฟูได้นิดหน่อย แต่มันสามารถใช้เพื่อการป้องกันตัวเองเท่านั้น และความแข็งแกร่งภายในของเธอนั้นยากมากที่จะเธอจะติดต่อกับเซียวเฉวียนระยะทางไกลได้

ซื้อหลิวไม่ยอมแพ้จนกว่าเธอจะมั่นใจตัวเองได้ว่าเธอทำไม่ได้จริงๆ ด้วยความสิ้นหวัง เธอจึงต้องยอมแพ้และใช้วิธีดั้งเดิมที่สุดในการติดต่อเซียวเฉวียนนั้นก็คือ ส่งจดหมายผ่านนกพิราบบิน

เมืองหลวงต้าเว่ย

นกพิราบที่ซือหลิวส่งมา ถูกสิ่งกีดขวางของจวนเซียวกระแทกลงกับพื้นอย่างแม่นยำ

มันกระพือปีกสองสามครั้งก่อนที่จะลุกขึ้นและบินใหม่อีกครั้ง

ชนกำแพงด้านใต้หนึ่งครั้งแล้วจะไม่โดนชนอีก

มันลอยอยู่เหนือจวนเซียวร้องเสียงฮูกฮูก

เสี่ยวเซียนชิวที่กำลังฝึกซ้อมอยู่ในสนามอ่านเข้าใจความหมายของมัน และบินออกไปจับมันมา

เมื่อจับนกพิราบไว้ในมือแล้ว เสี่ยวเซียนชิวก็เดินเข้าไปในห้องหนังสือเพื่อไปหาเซียวเฉวียน

ประตูห้องอ่านหนังสือเปิดอยู่ เมื่อเขาเห็นร่างของเสี่ยวเซียนชิว เซียวเฉวียนก็หยุดพู่กันจินหลุนเฉียนคุนในมือของเขาและมองดูเสี่ยวเซียนชิวด้วยสายตาเย็นๆของเขา ในที่สุดสายตาของเขาก็หยุดลงไปที่ขาของนกพิราบในมือของเธอ

มีกระดาษแผ่นหนึ่งถูกผูกไว้

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย