เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ความคิดในแง่ร้ายก็ผุดขึ้นมาภายในใจของเซียวเฉวียน: "หรือว่าตอนนี้พวกเขากำลังคิดก่อกบฏ ล้มล้างราชสำนักในตอนที่ไม่ได้ระวังตัว?"
ตามความเข้าใจของเซียวเฉวียน ที่มีต่อเว่ยหงและเว่ยหยาน พวกเขาเป็นคนที่มีความซับซ้อน และมีแนวโน้มที่จะทำเรื่องเช่นนี้
ยิ่งเซียวเฉวียนนึงถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งไม่สบายใจมากขึ้นเท่านั้น
ไป๋ฉี่ถูกกักขังอยู่ในรัฐไทโจว และคนของเจ้าผู้ครองรัฐยังคงดูแลรัฐมู่อวิ๋นอย่างเคร่งครัด และเซียวเฉวียนยังขาดการติดต่อจากเจินฮ่าวอีก
เป็นผลให้เซียวเฉวียนไม่สามารถรับรู้ข่าวคราวการเคลื่อนไหวของเจ้าผู้ครองรัฐได้อย่างทันถ่วงที และเขาไม่สามารถโต้ตอบอะไรได้ และในตอนนี้ตัวเขาไม่สามารถนิ่งเฉยต่อไปได้อีก
หลังจากชั่งน้ำหนักเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ครู่หนึ่งเซียวเฉวียนก็ได้ตัดสินใจเดินทางไปที่รัฐมู่อวิ๋นด้วยตัวเอง
ในสถานที่ห่างไกลอย่างรัฐไทโจว ภายในจวนเก่าหลังหนึ่ง มีเจ้าผู้ครองรัฐทั้งห้าอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา
ใบหน้าของทั้งห้าคนต่างมีสีหน้าภาคภูมิใจ แต่คนที่ดูภาคภูมิใจมากที่สุดคงจะไม่พ้นใครอื่นนอกจากเว่ยอี้หราน
เป็นที่รู้กันดีว่าเว่ยอี้หรานเป็นผู้นำของเหล่าเจ้าผู้ครองรัฐ
หลังจากการหารือร่วมกัน เจ้าผู้ครองรัฐได้ตัดสินใจให้เว่ยอี้หรานเป็นผู้นำกองทัพและกลายเป็นแม่ทัพในที่สุด
ในด้านของเว่ยหงและเว่ยหยานก็มีหน้าที่ช่วยเหลือเหมือนกับที่ปรึกษา ส่วนเจ้าผู้ครองรัฐอีกสองคนก็ทำหน้าที่เป็นรองแม่ทัพ
รองแม่ทัพ ฟังดูเป็นตำแหน่งที่สูงส่ง แต่อันที่จริงตำแหน่งนี้มีอำนาจน้อยที่สุด เพราะถึงยังไงเขาก็ต้องฟังคำสั่งของเว่ยอี้หรานและที่ปรึกษาอยู่ดี
ตำแหน่งพวกเขาไม่ได้ขยับก้าวหน้าไปไหนเลย ในฐานะของเจ้าผู้ครองรัฐ พวกเขาไม่ได้มีพรสวรรค์เหมือนกับเว่ยชิง และไม่ได้ขยันหรือเอาการเอางานเหมือนเว่ยชิงเลยแม้แต่น้อย
หากให้กล่าวตามความเป็นจริงแล้วล่ะก็ เขาพึ่งพาแค่บารมีของพ่อแม่ ดำรงชีวิตด้วยอำนาจและทรัพย์สมบัติของพ่อแม่เท่านั้น
ถือได้ว่าเป็นคนที่ไม่เอาถ่านและไม่มีดีอะไรเลย
โชคดีที่พวกเขายังมีความตระหนักรู้ในตนเองว่าความสามารถของพวกเขาสามารถทำหน้าที่รองแม่ทัพได้อย่างดี
พวกเขาพึงพอใจเป็นอย่างมาก เพราะระดับฟังดูสูงกว่าเจ้าผู้ครองรัฐอีกสองคน
สำหรับเว่ยหงและเว่ยหยานแล้ว พวกเขาทะนงตน นึกว่าตนเองเป็นเหวที่ไม่มีจุดสิ้นสุด น่ากลัวและอันตราย
ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังคิดว่าหากตนเองสบตาเข้ากับใครแล้วล่ะก็ เขาจะสามารถอ่านความในใจของคนผู้นั้นได้
และความรู้สึกนี้สามารถทำให้ผู้คนหวาดกลัว
ตัวอย่างเช่น เจ้าผู้ครองรัฐทั้งสามคนนี้ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นพันธมิตรที่สามารถพูดคุยในเรื่องต่างๆได้ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะสบตากัน
เพราะถึงยังไงทุกคนก็ต้องมีเรื่องราวอยู่ผ่านในใจ ไม่ใช่หรือ?
พวกเขากลัวว่าเว่ยหงและเว่ยหยานจะมองเห็นสิ่งเหล่านั้น
เว่นอี้หรานยิ้มอย่างมีความสุขและพูดว่า "ในที่สุด วันนี้ก็มาถึง ข้าวางแผนมาเนิ่นนาน!"
เว่ยหงพูดอย่างเย็นชา "แต่เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าไป๋ฉี่ที่เจ้าเฝ้าดูอยู่ หากปล่อยออกมาเขาจะไม่ก่อปัญหา"
เว่ยหงเป็นคนต้นคิด ที่จะกังขังไป๋ฉี่ไว้
เมื่อเว่ยหงได้ยินว่า ไป๋ฉี่จะยอมทรยศเซียวเฉวียนและจะเข้าร่วมก่อกบฏ เขาก็ไม่เชื่อว่าไป๋ฉี่จะยอมเป็นพันธมิตรกับพวกเขาจริงๆ
ตามความเข้าใจของเว่ยหง ไป๋ฉี่มีความภักดีต่อเซียวเฉวียนเป็นอย่างมาก สำหรับเซียวเฉวียนแล้ว ไป๋ฉี่ยอมตายยังได้
ในใจของคนที่กระหายเลือดเช่นนี้ ความยุติธรรมมีความสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด เขาไม่มีทางที่จะทรยศเซียวเฉวียนเพื่อเงินทองหรืออำนาจทางโลกเป็นแน่
หากเขาจะทรยศเซียวเฉวียน ความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวคือ เขาจะต้องเกลียดชังเซียวเฉวียนจนสามารถเอาชีวิตเขาได้
แต่นับประสาอะไรกับความเกลียดชัง แค่ความขัดแย้งยังไม่เคยเห็นว่าเกิดขึ้นกับพวกเขา
มีแค่คนอย่างเว่ยอี้หรานเท่านั้นล่ะที่เชื่อว่าไป๋ฉี่จะทรยศเซียวเฉวียนเพื่อเเย่งชิงอำนาจ
ทันทีที่ไป๋ฉี่จากไป ตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาก็ค่อยๆปรากฏออกมา พวกเขาต่อต้านเจินฮ่าวอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเจินฮ่าวเริ่มสงสัย เหล่าเจ้าผู้ครองรัฐก็ไหวตัวอย่างรวดเร็ว
จากสถานการณ์นี้ เป็นไปได้ว่า พวกเขากำลังจะเริ่มการกบฏ!
เจินฮ่าวถูกตัดขาดจากโลกภายนอก เขาได้สืบเสาะไปรอบๆรัฐมู่อวิ๋น แต่ไม่ว่าจะไปที่ใด ก็จะมีคนของเจ้าผู้ครองรัฐตามติดไปด้วยทุกที่ ในโชคร้ายก้มีโชคดีอยู่ ที่ในแต่ละวันเขาสามารถออกไปข้างนอกเพื่อทำความคุ้นเคยกับสถานการณ์ของรัฐมู่หยุ่น
ให้ได้พอรู้บ้างว่า ภายนอกมีสิ่งใดเกิดขึ้น
แต่ถึงกระนั้น สถานการณ์ภายนอกก็ถูกจำกัด ประชาชนไม่รู้ข่าวใดๆ ที่เกี่ยวกับกองทัพของเจ้าผู้ครองรัฐเลยแม้แต่น้อย
จะเห็นได้ว่าเจ้าผู้ครองรัฐไม่นับว่าเจินฮ่าวเป็นพันธมิตร
การเอาชนะเจินฮ่าวนั้น จะต้องไม่เปลืองกำลังพลและจะต้องไม่เปลืองทรัพยากร ขั้นแรกหลอกล่อห้เจินฮ่าวตายใจ จากนั้นค่อยๆเข้าแทรกซึมเพื่อยึดอำนาจ
สิ่งนี้เป็นความคิดของเว่ยอี้หราน
เนื่องจากเว่ยอี้หรานทำให้ผู้คนคิดว่าเขาไม่ใช่คนที่ร่ำรวย และไม่ใช่คนที่มีจิตใจดีมาก การติดต่อกับบุคคลเช่นนี้ จะทำให้เจินหฮ่าวลดความระมัดระวังลงได้
ในที่สุดเจินห่าวก็เข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริงของเจ้าผู้ครองรัฐ
แต่เมื่อมานึกขึ้นได้ตอนนี้ เขาก็พึ่งรู้ตัวว่าตนเองประเมินศัตรูต่ำเกินไป และได้ตกหลุมพรางไปโดยที่ไม่ทันตั้งตัว
แต่ถึงกระนั่น ต่อให้คนที่เข้ามาหาเจินฮ่าวจะไม่ใช่เว่ยอี้หราน เจินฮ่าวก็ยังคงแสร้งทำเป็นพันธมิตรกับเขาอยู่ดี
ด้วยอำนาจของรัฐมู่อวิ๋น มันเป็นเรื่องยากมากที่จะเอาชนะความแข็งแกร่งทางทหารของทั้ง 5 แคว้น เพื่อช่วยเหลือผู้คนในมู่อวิ๋นจากความทุกข์ทรมานของสงคราม เจินฮ่าวไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องแสร้งทำเป็นตอบรับคำเชิญ และเอาใจพวกเขาไปก่อน
เนื่องจากเขาไม่สามารถติดต่อกับเซียวเฉวียนได้ในขณะนี้ เขาจึงได้แต่ฝากความคาดหวังไว้ที่เซียวเฉวียน เซียวเฉวียนเป็นคนระมัดระวังตัว เขาจึงเชื่อว่าเซียวเฉวียนจะหาทางตอบกลับให้จงได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...