ไม่ต้องถามอะไรให้มากความหรอก เซียวเฉวียนเองก็รู้อยู่เต็มอกว่าไป๋ฉี่ต้องแอบออกจากวังมาแล้ว
เซียวเฉวียนคิดว่าไป๋ฉี่ต้องคงจะต่อว่าเจ้าครองนครไปแล้ว แต่ผิดจากที่คาด ไป๋ฉี่กลับพูดว่า “นายท่าน นักปราชญ์ได้มาถึงที่พระราชวังแล้ว”
ว่ายังไงนะ?
เขามาที่ต้าเว่ยงั้นรึ?
แถมยังจะมาที่รัฐไทโจวอีก?
การปรากฎตัวในพระราชวังแห่งรัฐไทโจว ต่อให้เซียวเฉวียนใช้พระบาทาคิดก็พอจะนึกออกว่านักปราชญ์ต้องการทำอะไร
ต้องยอมรับว่าข้อมูลของนักปราบญ์นั้นถูกต้องแม่นยำจริงๆ
การกบฎของเจ้าครองนครนั้นเป็นความลับสุดยอด แต่นักปราชญ์ก็ยังสามารถร่วงรู้ได้
เป็นไปได้ว่าพลังของนักปราชญ์นั้นเจาะลึกเข้าไปในราชวงศ์ต้าเว่ยได้!
เซียวเฉวียนหรี่ตาลงด้วยความฉงนใจ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าเข้าใจแล้ว อย่าให้พวกนั้นพบเจอเจ้าหรือหากถูกจับได้ เจ้าก็ต้องรีบถอนตัวโดยเร็ว!”
“รับทราบนายท่าน” ไป๋ฉี่ตอบ
เซียวเฉวียนพูดออกไป “อือ กลับไปได้แล้ว ระวังตัวให้ดีๆล่ะ!”
“รับทราบนายท่าน ”
ครานี้เซียวเฉวียนก็อดไม่ได้ที่จะสั่งสอนไป๋ฉี่ “ไป๋ฉี่ ข้าเคยสอนเจ้าว่ายังไง จำไม่ได้รึ?”
ด้านไป๋ฉี่ก็ตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตระหนักได้ว่าเซียวเฉวียนพูดถึงอะไรและรีบเปลี่ยนคำพูด “ครับ ท่านเซียว”
เซียวเฉวียนถึงตอบกลับไปด้วยความพอใจ “อืม ไปได้ละ”
พระราชวังศ์แห่งรัฐไทโจวคอยจับตาดูไป๋ฉี่อยู่ตลอด แม้เซียวเฉวียนจะไม่เคยไปที่นั่นแต่ก็พอนึกออกว่าอันตรายมากขนาดไหน
ถ้าไป๋ฉี่ออกมานานเกินไปก็อาจจะถูกจับได้
ยิ่งเมื่อได้รู้ว่านักปราชญ์มาถึงรัฐไทโจวแล้ว เซียวเฉวียนยิ่งคิดว่าต้องใช้เวลาพักสักหน่อย
แต่ไม่ใช่ตอนนี้
ตอนนี้เว่ยอี้หรานไม่ได้อยู่ที่วังไทโจว ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ถ้าเขาทำอะไรบุ่มบ่าม ต่อให้เป็นถึงเจ้าครองนครก็ไม่สามารถเห็นตัวนักปราชญ์ได้ง่ายๆ
หากต้องการจะทำสัญญาร่วมกับเจ้าครองนคร นักปราชญ์เกรงว่าจะต้องใช้ความคิดกว่านี้
เพราะงั้นในระยะเวลาสั้นนี้นักปราชญ์จะไม่ไปจากต้าเว่ยเด็ดขาด
แต่อย่างไรเสีย เซียวเฉวียนก็อยากรู้มากว่านักปราชญ์จะทำอย่างไรเพื่อได้ร่วมทำสัญญากับเจ้าครองนคร
ในขณะนั้นเองเจินห่าวที่พึ่งกลับมาจากข้างนอก เห็นเซียวเฉวียนกำลังใช้ความคิด ก็ไม่กล้าที่จะรบกวน เพียงแค่นั่งเป็นเพื่อนข้างๆ
แต่อันที่จริงตอนที่เจินห่าวเปิดประตู เซียวเฉวียนก็รู้ทันทีว่าเขากลับมา เซียวเฉวียนถามด้วยเสียงราบเรียบ “ตอนนี้สถานการณ์ข้างนอกเป็นยังไงบ้าง?”
วันนี้ตั้งแต่เช้าจรดเย็น คนของเว่ยอี้หรานก็เพิ่มขึ้นอย่างน่าประหลาด ทั้งด้านในและด้านนอกวัง
ที่แม้แต่องครักษ์ของราชวังก็ยังถูกแทนที่ด้วยคนของเว่ยอี้หราน เห็นได้ชัดว่าวังรัฐมู่อวิ๋นมีส่วนสำคัญในการวางแผนครั้งนี้ เจ้าครองนครไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร เขาทำได้เพียงในส่วนที่ทำได้เพื่อช่วยพระราชวังแก้ปัญหา
พูดซะน่าฟังยิ่งกว่าบทเพลง
แต่ความจริงแล้วก็แค่จะใช้โอกาสนี้ควบคุมพระราชวังทั้งหมด เพื่อไม่ให้คนของวังเข้าออกได้
แต่ที่พูดมาขนาดนี้ก็แปลว่าพวกเขาได้เตรียมการไว้หมดแล้ว
และคำตอบคือใช่
คนของเว่ยอี้หรานใช้ประโยชน์จากเจินห่าวเพื่อเข้าไปด้านใน ใช้โอกาสที่ฟ้ามืดเข้าย่องเข้าไปในโกดังของพระราชวัง เตรียมเมล็ดพืชทั้งหมด
ระหว่างที่อยู่ในนั้น พวกเขาก็ถือโอกาสสำรวจพระราชสวังทั้งหมด
หลังที่รวบรวมเมล็ดพันธุ์และพืชผลทั้งหมดจากกองทหารรัฐมู่อวิ๋นได้แล้ว ปกติก็คงจะซ่อนตัวอยู่ในโกดัง
โกดังนี้สร้างขึ้นในชั้นใต้ดิน
เหตุผลที่สร้างไว้ที่นี่ ก็เพราะหนึ่งคือสะดวกต่อการจัดเก็บ สองก็เพื่อป้องกันไม่ให้โจรลักลอบเข้ามาขโมยหรือทำลาย
เรื่องของโกดังไม่ใช่ความลับสำหรับคนในพระราชวัง
หากคนของเว่ยอี้หรานต้องการจะสืบก็ไม่ใช่เรื่องยาก
เมื่อเซียวเฉวียนถามคำถามนี้ขึ้น ก็พลันได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านนอก
ไม่เช่นนั้นก็จะไม่ทันเวลา และพวกเขาอาจใช้เวลาทั้งหมดในการเตรียมการรับมือกับการมาถึงของเซียวเฉวียน
สำหรับเจ้าครองนครแล้ว เขาจำเป็นต้องกบฎ
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เตรียมกองทัพมา แต่สิ่งที่พวกเขาทุ่มเทกับราชวังมู่อวิ๋นก้เพียงพอจะเรียกความสนใจของเซียวเฉวียนได้
และการที่พวกเขาปฏิบัติเช่นนี้กับมู่อวิ๋น พวกเขาก็รู้ว่าเจินห่าวไม่มีทางที่จะเอาเรื่องของพวกเขาไปพูดกับเซียวเฉวียน
หรือจะพูดได้ว่า การกบฎครั้งนี้ไม่อาจปกปิดได้อีกต่อไป
หากพลาดโอกาสนี้แล้ว สิ่งที่รอพวกเขาอยู่ก็มีแต่แผนการที่จะโค่นล้มบรรลังก์
และเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว พวกเขาก็จะปล่อยวางและค้นหาสิ่งที่ดีให้กับตัวเอง
และเมื่อรุ่งสางของวันที่สอง เมื่อเฉวียนอีมาถึงก็พบเฉวียนอู๋ทั้งห้าก็จะยืนที่ประตูใหญ่และเปร่งเสียงโห่ร้อง เฉวียนอีตอบกลับว่า “เฉวียนอู๋ สิ่งที่นายให้เตรียมเรียบร้อยหรือยัง?”
เฉวียนอู๋ตอบกลับ “เรียบร้อยหมดแล้ว งานที่นายมอบหมายข้าทำได้อย่างแม่นยำเลยล่ะ”
เมื่อพูดถึงตอนนี้ เฉวียนอู๋ก็แสร้งทำเป็นสงสัยและพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่านายจะไปที่มู่อวิ๋นในวันพรุ่งนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพาใครไปด้วย”
เฉวียนเอ้อตอบกลับ “เบาเสียงหน่อย จงระวังว่ามีคนแอบฟังอยู่บนกำแพง การเคลื่อนไหวของนายท่านมิอาจแพร่งพรายไปให้ใครรู้ได้”
เมื่อพูดจบ เฉวียนเอ้อก็หันกลับมาพูด “พูดตรงๆข้าก็ยังไม่เคยออกไปกับนายท่านเหมือนกัน ข้าก็หวังว่านายท่านจะพาข้าไปด้วย”
เฉวียนซานเม้มริมฝีปากและพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกว่า “ข้าคิดว่าหากนายท่านพาข้าไปแล้ว ก็คงไม่พาเจ้าไปด้วย”
คนทั้งห้าแพร่งพรายปริศนามากมายออกมาทางคำพูด ก่อนจะแยกย้ายกันไปคนละทาง
สิ่งที่พวกเขาคุยกันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้สายลับที่คอยสังเกตุการณ์อยู่นั้นได้ร่วงรู้ข่าวลือที่เซียวเฉวียนจะไปมู่อวิ๋น
ข่าวลือนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเจ้าครองเมือง!
เพื่อความมั่นใจว่าข่าวลือเหล่านั้นจะถูกส่งต่อไป สายลับได้บอกข่าวฝากไปกับนกพิราบ
เพียงแค่เสี้ยววิ นกพิราบมากมายก็ปรากฎตัวขึ้น
และในเวลานี้เองกองทัพของฉิงเซิงก็ห่างจากมู่อวิ๋นเพียงสามวันเท่านั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...