ไอ้บ้าเอ๊ย!
ดันไปตกหลุมพรางซะแล้ว!
เว่ยหงรู้สึกโกรธแค้นในใจ
เขาใช้ชีวิตมาหลายสิบปีแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกคนวางแผนแบบนี้ คนที่วางแผนกับเขายังเป็นจักรพรรดิหนุ่มและเซียวเฉวียน!
ไม่จำเป็นต้องคิด ใครนอกจากฮ่องเต้ที่สามารถระดมพลทหารกองทัพตระกูลฉินได้?
แน่นอนว่านี่ต้องอาศัยฝีมือของเซียวเฉวียนด้วย ไม่อย่างนั้นเซียวเฉวียนจะปล่อยข่าวว่าเขาจะมาที่รัฐมู่อวิ๋นทำไม?
ก็เพื่อดึงดูดบรรดาเจ้าครองแคว้นมาที่นี่ ต่อสู้กับเจ้าครองแคว้นเพื่อตัดสินแพ้ชนะ
ฮ่องเต้และเซียวเฉวียนช่างเป็นพวกวางแผนดีจริงๆ!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เว่ยหงก็ตกใจ ด้วยความที่เซียวเฉวียนมีนิสัยแบบนี้ เขาน่าจะแทรกซึมเข้าไปในรัฐมู่อวิ๋นตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้ว
ถ้าเป็นเช่นนั้น เรื่องที่เจินฮ่าวและไป๋ฉี่กับเจ้าครองนครสมคบกัน ต้องเป็นเท็จอย่างแน่นอน
เว่ยอี้หรานส่งคนไปขนเสบียงจากวังของรัฐมู่อวิ๋น เจินฮ่าวและเซียวเฉวียน ย่อมรู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน
การที่เซียวเฉวียน ยังปล่อยให้คนของเว่ยอี้หรานขนเสบียงไป ก็แสดงว่าเซียวเฉวียน มั่นใจมากว่าจะชนะศึกครั้งนี้ และมั่นใจว่าจะเอาเสบียงกลับคืนมาได้
การรบไม่ใช่เรื่องง่าย อาจใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนถึงหนึ่งเดือน หรืออาจนานถึงหนึ่งปีครึ่งก็ยากจะบอกได้
เป็นไปได้ไหมที่เซียวเฉวียน จะไม่กังวลว่าเสบียงเหล่านั้นจะถูกกองทัพของเจ้าครองนคร ใช้จนหมด?
จากปฏิกิริยาของเซียวเฉวียน ดูเหมือนว่าจะไม่กังวล
เหตุผลเดียวที่ทำให้เขาไม่กังวลก็คือ เซียวเฉวียน คิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้เวลามากในการรบครั้งนี้
กล่าวคือ เซียวเฉวียนคิดว่ากองทัพของเจ้าครองนคร ไม่มีทางใช้เสบียงทั้งหมดที่พวกเขานำติดตัวมาได้ หรือแม้แต่ใช้ไม่มาก สงครามครั้งนี้ก็จบลงแล้ว
อย่างที่ว่ากันว่า อย่ารบหากไม่มีความมั่นใจ
ด้วยเล่ห์เหลี่ยมของเซียวเฉวียนย่อมจะไม่ทำเช่นนั้นโดยพลการ จะต้องคิดอย่างรอบคอบและวางแผนอย่างรอบคอบอย่างแน่นอน
ปวดหัว!
เว่ยหงรู้สึกว่าตัวเองเจอศัตรูที่แข็งแกร่งแล้ว
เว่ยอี้หรานก็รู้สึกเช่นนั้นเช่นกัน เขาหันไปมองเว่ยหงด้วยสีหน้าวิตกกังวล “ท่านพี่ พวกเราจะทำอย่างไรกันดี?”
หากเดินหน้าต่อไป ย่อมไม่รู้ว่ากองทัพของตระกูลฉิน เป็นอย่างไร อันตรายที่ไม่อาจคาดเดาได้
หากถอยหลัง ก็ไม่มีทางถอยหลัง
กฎหมายของต้าเว่ยกำหนดว่า เจ้าครองนครไม่สามารถออกจากเขตแดนของตนโดยพลการ
ในขณะนี้พวกเขาไม่เพียง แต่ออกไปเท่านั้น แต่ยังออกไปเป็นกลุ่มใหญ่ ยังนำกองทัพที่ยิ่งใหญ่มาด้วย
และพวกเขามุ่งหน้าไปยังเมืองหลวง
ชัดเจนเช่นนี้ คนที่ตาดีเห็นก็รู้ว่าเจ้าครองนคร กำลังเตรียมก่อกบฏ
แม้ว่าพวกเขาจะต้องการถอยกลับในตอนนี้ และต้องการปกปิดเรื่องนี้ กองทัพของตระกูลฉินอยู่ข้างหน้า และวังของรัฐมู่อวิ๋นอยู่ข้างหลัง พวกเขาจะแก้ตัวเก่งแค่ไหน ก็ไม่สามารถล้างมลทินเรื่องการกบฏได้
ให้ตายเถอะ!
พวกเขาใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมาหลายสิบปี แต่ในที่สุดก็ถูกฮ่องเต้และเซียวเฉวียนหลอก!
ช่างน่าอับอายเสียจริง!
เว่ยหงมองเว่ยหยานด้วยสายตาที่ซับซ้อน เขาถอนหายใจเบา ๆ แล้วพูดว่า “พักที่นี่ก่อน พวกเจ้าไปสำรวจสถานการณ์ข้างหน้าอีกครั้งเถอะ”
พูดจบ เว่ยหงก็มองไปที่สายลับ สายลับก็ปฏิบัติตามคำสั่ง
เว่ยหงและเว่ยหยานต่างก็ใจสั่น เช่นเดียวกับอีกสามขุนนาง ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตกใจ
เว่ยอี้หรานกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ถูกเสียงเย็นชาและเย้ยหยันขัดจังหวะ “ขุนนางทั้งหลาย ของขวัญชิ้นใหญ่ที่ผู้แซ่เซียวมอบให้พวกท่าน น่าประหลาดใจไหม?พวกท่านพอใจไหม?”
ยังไม่เห็นตัว ก็ได้ยินเสียงก่อน
อ้างว่าตัวเองเป็นผู้แซ่เซียว และเป็นคนดื้อรั้นเช่นนี้ เซียวเฉวียนคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเป็นได้
เว่ยหงและคนอื่นๆ ค่อยๆ หลับตาตามเสียง
ในพริบตา ร่างสูงใหญ่ของเซียวเฉวียน ปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขาอย่างสง่างาม
เขาใช้สถานะของเขากดดันคนอื่นหรือไม่?
ไม่มี!
แม้แต่เจ้าชายแห่งราชวงศ์ก็ควรให้เซียวเฉวียนคุกเข่าหรือไม่?
เรื่องตลก!
เซียวเฉวียนเลิกคิ้วขึ้น มองเว่ยอี้หรานอย่างดูถูกเหยียดหยามอย่างรุนแรง ส่งเสียงฮึ่ม!เย็นชาออกมาหนึ่งครั้ง ท่านทั้งหลายมีสายลับอยู่ในเมืองหลวงมากมาย แต่กลับไม่รู้เลยว่าผู้แซ่เซียวไม่ต้องคุกเข่าต่อหน้าฮ่องเต้กันหรือ?”
“ดูเหมือนว่าสายลับของพวกท่านก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
พูดจบ เซียวเฉวียนก็หัวเราะเยาะ “พวกเจ้าเป็นเพียงเจ้าครองเมืองธรรมดา ๆ เท่านั้น แล้วจะมีสิทธิ์อะไรให้ข้าคุกเข่าลง?”
กล่าวโดยนัยคือ ข้าไม่แม้แต่จะคุกเข่าลงต่อหน้าฮ่องเต้ แล้วข้าจะคุกเข่าลงต่อหน้าพวกเจ้าได้อย่างไร
ตบของเซียวเฉวียนดังก้องไปทั่วใบหน้าของเหล่าเจ้าครองเมือง และมันยังร้อนระอุอีกด้วย
เว่ยอี้หรานโกรธจนตัวสั่นไปหมด เขาพูดออกมาได้เพียงคำเดียว “เจ้า!”
บ้าไปแล้ว!
ช่างบ้าบิ่นสิ้นดี!
โชคดีที่สิ่งที่เซียวเฉวียนพูดนั้นเป็นความจริง เว่ยอี้หรานไม่สามารถโต้แย้งได้
พวกเขารู้เรื่องการอภัยโทษของฮ่องเต้ต่อเซียวเฉวียน
แม้ว่าพวกเขาจะก่อกบฏ พวกเขาก็ไม่สามารถบังคับให้เซียวเฉวียนคุกเข่าต่อหน้าพวกเขาได้อย่างโจ่งแจ้ง พวกเขาได้ยินมาว่าภาพชุนเซี่ยวในมือของเซียวเฉวียนสามารถบันทึกคำพูดของผู้คนได้อย่างเป็นกลางโดยไม่อคติ
เซียวเฉวียนเป็นคนที่มีทักษะในการเจรจาและมีความแข็งแกร่ง หากเขาหลบหนีและหาโอกาสที่เหมาะสมที่จะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา จะเป็นผลเสียต่อเหล่าเจ้าครองเมืองด้วย
พูดอีกอย่างก็คือ แม้ว่าเจ้าครองเมืองเหล่านั้นจะเป็นนักปราชญ์ก็ตาม เมื่อพวกเขาเห็นเซียวเฉวียนผู้เป็นประมุขแห่งชิงหยวน พวกเขาก็ต้องเรียกเขาว่า “ครู” อย่างสุภาพ
อาจารย์เปรียบเสมือนพ่อ
อืม เมื่อเทียบกับเซียวเฉวียน พวกเขายังเทียบไม่ได้กับเขาในด้านสถานะ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...