จุกลงนามลงนามด้วยคำว่านักปราชญ์ ด้านบนถูกประทับด้วยตราประทับของสำนักหมิงเซียน
ตราประทับนี้ นักปราชญ์เคยให้เจ้าครองนครดูมาก่อน
ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ที่ทำให้พวกเขามั่นใจในสถานะและข้อมูลว่าเป็นความจริง
เมื่อกล่าวถึงนักปราชญ์ผู้นี้ นับว่าคงแก่เรียน เขาไม่เพียงแต่เขียนภาษาของต้าเว่ยได้แล้ว ยังเขียนคล้ายกันอีกด้วย
พูดได้ว่า สารประโยคนี้มาได้จังหวะพอดี
เว่ยหงคาดเดาอยู่ในใจอยู่แล้ว
ความกังวลเมื่อครู่หายไปฉับพลัน
ในเมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ไม่มีทางให้ถอยหลังอีกแล้ว
อีกทั้งประโยคนั้นไม่เพียงแต่เป็นทางตันแล้ว ตรงกันข้ามยังกลายเป็นทางรอดให้กับตัวเองและครอบครัวอีกด้วย !
เซียวเฉวียนผู้นี้ฝีปากเลื่องลือ เขาพูดจามีเหตุผล แต่เชื่อเขาไม่ได้
เขาหลอกคนเก่งที่สุด
เขาเป็นพวกเดียวกับฮ่องเต้ เขาคิดว่าเจ้าครองนครยอมจำนนได้โดยไม่ต้องเปิดศึก แบบนี้ผลงานของเขาก็จะมากขึ้น
ทหารที่ยอมจำนนโดยไม่ต้องเปิดศึก พูดออกไป นับว่าเป็นเกียรติให้กับวงศ์ตระกูลอย่างยิ่ง!
เช่นนี้ไม่เพียงแต่ชาวบ้านที่ชื่นชมเซียวเฉวียนแล้ว ฮ่องเต้ยังให้ความสำคัญกับเซียวเฉวียนอีกด้วย
สำหรับเซียวเฉวียน เรียกว่าได้รับทั้งชื่อเสียงและผลประโยชน์คู่กัน
ส่วนเรื่องที่จะปกป้องครอบครัวของเจ้าครองนครจากภัยอันตรายที่เซียวเฉวียนกล่าวไว้ เว่ยหงไม่ค่อยกล้าเชื่อว่าเซียวเฉวียนจะทำได้
ตรงกันข้ามหากเปลี่ยนจากเว่ยหงเป็นเซียวเฉวียน เขาไม่ปล่อยครอบครัวของอีกฝ่ายไปง่าย ๆ แน่นอน ไม่ปล่อยสักคน ฆ่าล้างผลาญเจ็ดชั่วโครต หลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
มีการสนับสนุนของกองทัพซินเจียงอยู่ เว่ยหงไม่มีทางยอมจำนนโดยไม่เปิดศึกแน่นอน!
แต่สารที่บอกว่าจะเปิดศึกอีกสองวัน เว่ยหงและพรรคพวกจะต้องคิดหาทางหยุดกองทัพฉินภายในสองวันนี้
ไหน ๆ เซียวเฉวียนก็มาโน้มน้าวถึงที่แล้ว เว่ยหงอาจใช้ประโยชน์จากแผนเดิม อีกทั้งประโยคนั้น เขาเอ่ยเสียงเรียบ “จะเปิดหรือไม่เปิดศึก ยังมีเวลาให้พวกเขาหารือกันเป็นอย่างไร?”
กลอุบายนี้ของเว่ยหง เซียวเฉวียนเห็นจากละครในยุคปัจจุบันนับไม่ถ้วน เขาจะปิดบังเซียวเฉวียนได้อย่างไร?
เซียวเฉวียนยิ้มเยาะเย็นชา “ท่านอ๋อง ท่านไม่ต้องเสแสร้งแล้ว หากข้าเดาไม่ผิด นั้นคงเป็นนกพิราบของนักปราชญ์เป็นแน่? นักปราชญ์บอกว่าอีกสองวันซินเจียงจะเปิดศึก เพื่ถ่วงเวลา ท่านตั้งใจจะหารือภายในสองวันใช่หรือไม่?”
เมื่อถูกเซียวเฉวียนอ่านความคิดได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เว่ยหงจึงอดกระตุกเกร็งไม่ได้ พลางครุ่นคิดในใจ เซียวเฉวียนใช่คนหรือไม่ เห็น ๆ อยู่ว่าเซียวเฉวียนไม่เห็นสารบนกระดาษนั้น แต่กลับเดาเรื่องราวได้อย่างแม่นยำ
เก่งจริง ๆ นะ!
ไม่น่าล่ะเว่วยเชียนชิวที่เอาแต่วางแผนอยู่ในกระโจมค่ายมาเป็นสิบปีถึงได้เล่นงานเขาไม่ได้ คนฉลาดเช่นนี้ แม้แต่เว่ยหงผู้ซึ่งอยู่ลึกที่สุดของเมืองก็ยังรู้สึกกดดันเหมือนโดนภูเขากดทับเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเขา
โลกนี้มีคนฉลาดและละเอียนรอบคอบเช่นนี้อยู่จริง ๆ !
ทั้งยังเป็นคู่ต่อสู้ของเว่ยหงด้วย !
จะบอกว่าไม่กลัวเซียวเฉวียนก็คงจะโกหกเกินไป
แต่ที่เซียวเฉวียนพูดก็ถูก เรื่องนี้เว่ยหงยอมไม่ได้
เขาพยายามข่มอารมณ์ก่อนเอ่ย “ข้าพูดอะไรท่านอ๋งทรงทราบดี เหตุใดจะต้องเสแสร้งแกล้งทำ ไม่กล้ายอมรับความจริงละ?”
เว่ยหงเป็นคนไร้ยางอายอยู่แล้ว
แต่ไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร
เซียวเฉวียนไม่ได้คาดหวังให้เขายอมรับอยู่แล้ว
เขาบอกรายละเอียดเช่นนี้ เพียงเพื่อดูว่าปฏิกิริยาของเว่ยหง
พูดตามตรง หลอกใช้เขาเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
“เวลา “หารือ” เซียวเฉวียนให้พวกเขา
เซียวเฉวียนเอ่ยว่า “ดี ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าสองวัน ในสองวันนี้เจ้าครองนครทุกคนต้องคิดทบทวนให้ละเอียดรอบคอบ”
ความหมายของฉินเซิงคือ ไหน ๆ ก็รู้ว่าเจ้าครองนครไม่เพียงแต่จะไม่มีโอกาสชนะแล้ว ยังสมรู้ร่วมคิดกับศัตรูทรยศซินเจียง เราไม่ควรให้เวลาพวกเขาได้เตรียมตัว ถือโอกาสตอนที่พวกเขากำลังเสื่อมถอย เก็บกวาดกองทัพซินเจียงซะ
คิดแบบนี้ก็ไม่ผิด
แต่เซียวเฉวียนพูดอย่างหนักแน่นว่า “บัดนี้ซินเจียงอยู่ภายใต้การควบคุมของราชินี ซินเจียงในตอนนี้แตกต่างกับซินเจียงในเมื่อก่อน ไหน ๆ ซินเจียงก็อยากจะเปื้อนโคลนนี้อยู่แล้ว เราจะให้ราชินีเสียใจกับการตัดสินใจครั้งนี้ไม่ได้!”
เพื่อหมิงเจ๋อคนสารเลวผู้นี้ ราชินีซินเจียงถึงกับคลุ้มคลั่ง นางไม่เพียงตาเผชิญหน้ากับเซียวเฉวียนเหมือนกับหมิงเจ๋อเท่านั้น ยังเผชิญหน้ากับต้าเว่ยอีกด้วย
หากไม่ถือโอกาสนี้ทำลายความกล้าหาญของพวกเขา พวกเขาผู้ซึ่งไม่มีประสบการณ์ คิดว่าต้าเว่ยคือเมืองที่พวกเขาสามารถโจมตีเมื่อไหร่ก็ได้
ถือโอกาสนี้ทำให้คนโลกนี้เห็นถึงความแข็งแกร่งของต้าเว่ย!
ให้คนรักในต้าเว่ยเหล่านั้นได้พิจารณาศักยภาพของตัวเอง อย่าให้วุ่นวายเหมือนแมลงวันไร้หัว
ภายใต้สถานการณ์ที่ศึกนอกศึกในยังไม่สงบ หากต้าเว่ยมีกึ๋นแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ ต้าเว่ยก็จะได้รับการสถาปนาอย่างยิ่งใหญ่!
ต่อไปใครเล่าจะกล้าบุ่มบ่าม !
เหอะ !
เมื่อได้ยินคำพูดของเซียวเฉวียน ฉินเซิงสัมผัสได้ว่าสิ่งที่เซียวเฉวียนก็สมเหตุสมผล เซียวเฉวียยคิดรอบคอบและคิดการณ์ไกล
แต่ฉินเซิงก็ยังกังวลอยู่ลึก ๆ ในใจ ถึงอย่างไรทหารที่เฝ้าอยู่ชายแดนก็ไม่มีปืนในมือ พวกเขาใช้แค่ดาบสู้รบกับทหารซินเจียง
ซึ่งคนของซินเจียงนั้นมีความสามารถมากกว่าคนของต้าเว่ยอยู่แล้ว กำลังก็มากกว่าต้าเว่ย
เรียกได้ว่าองอาจและเชี่ยวชาญด้านการรบเลยก็ว่าได้
ทหารที่เฝ่าประจำการอยู่ที่ชายแดนอาจจะป้องกันการโจมตีของกองทัพซินเจียงไม่ได้
ฟังจบ เซียวเฉวียนก็คลี่ยิ้มบาง ๆ ก่อนเอ่ย “ท่านแม่ทัพฉินวางใจเถอะ เรื่องนี้ข้าได้ปรึกษาหารือกับฝ่าบาทแล้ว”
ฉินเซิงเป็นอยู่ดูแลเหล่าเจ้าครองนครที่นี่ได้เพียงสองวัน ถึงตอนนั้นหากพวกเขายังดื้อรั้น ยืนหยัดจะสู้ ก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจพวกเขาแล้ว
แต่เซียวเฉวียนพูดกับฉินเซิงว่า ถ้าจะไว้ชีวิตเว่ยหงและเว่ยหยาน เซียวเฉวียนต้องตรวจหาพลังชีวิตจากกลางกระหม่อมของพวกเขาแทน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...