หวงเฟยมองดู ฉินเซิงด้วยสายตาอ้อนวอน หวังว่า ฉินเซิงจะให้คำแนะนำแก่เขา
น่าเสียดายที่ ฉินเซิงดูเหมือนจะไม่เข้าใจอะไรเลย และไม่ได้พูดอะไร
บรรยากาศเงียบงันลง
หลังจากผ่านไปครึ่งถ้วยชา เห็นว่าหวงเฟนยังคงยืนอยู่ที่นั่น ฉินเซิงจึงถาม “มีอะไรอีกไหม? “
หวงฟานจ้องมอง ฉินเซิงอย่างมุ่งมั่น และพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “ขอถามท่านแม่ทัพว่ามีวิธีใดบ้างที่จะทำให้เราขนเสบียงของศัตรูโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว”
ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวังหวงฟานรอคำตอบจาก ฉินเซิงแต่ ฉินเซิงก็ทำให้ผิดหวังใส่เขา “ไม่มี”
แม้จะมีคนจำนวนมาก แต่การขนเสบียงก็เป็นงานใหญ่ และแม้แต่ในเวลากลางคืน ก็ไม่สามารถทำให้ไม่มีใครรู้ได้
หวงฟานพูดไม่ออก
แต่ หวงฟานยังคงไม่ยอมแพ้ เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงถามอีกครั้ง “แล้วแม่ทัพมีวิธีใดบ้าง?”
ไม่จำเป็นต้องไม่ให้พวกเขารู้ตัว เพียงแค่ขนเสบียงก็พอ
ฉินเซิงพูดอย่างจริงจัง "มีวิธี แต่ก่อนอื่นต้องขนก่อน แล้วค่อยเผชิญหน้า"
"ถ้าพวกเขาพบเห็น ก็แค่ต่อสู้"
ท้ายที่สุดแล้ว กองทัพฉิน ก็มีปืน และพวกเขาไม่กลัวที่จะต่อสู้
นี่
ไม่เท่ากับไม่พูดอะไรเลยเหรอ?
ช่างเถอะ ช่างเถอะ
ดูฉินเซิงจะไม่ต้องการช่วยหวงเฟยแต่ต้องการให้หวงเฟยคิดหาวิธีเอง
หาก ฉินเซิงยอมรับที่จะต่อสู้ แสดงว่าหวงเฟยสามารถลองได้
ท้ายที่สุดแล้ว ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดก็คือการต่อสู้
เมื่อคิดได้ดังนี้หวงเฟยก็กลับไปเตรียมพร้อมและรอเวลากลางคืนที่มืดมิด
ในทะเลทรายอันห่างไกล
กองทัพชาวยุทธ์แท้ยังคงฝึกฝนตามปกติ
ฉินเฟิงและไป๋เจวี๋ยและ เสวียนจิ้งดูการฝึกของชาวยุท์แท้
ฉินเฟืงและเสวียนจิ้ง ทั้งคู่มาจากตระกูลขุนนาง และพวกเขามีชะตากรรมที่คล้ายคลึงกัน ทั้งสองคนกลายเป็นคนไร้บ้านหลังจากใช้เวลาร่วมกัน ความสัมพันธ์ของพวกเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และพวกเขากลายเป็นเพื่อนที่รู้ใจ
พวกเขายืนอยู่ใกล้กัน และไป๋เจวี๋ยอยู่ห่างออกไปอีก
ตราบใดที่ทั้งสองคนควบคุมเสียงได้ดี ไป๋เจวี๋ยก็จะไม่ได้ยินพวกเขาพูดอะไร
ฉินเฟิงสงสัยว่า “เสวียนจิ้ง เจ้าว่านักปราชญ์กลับมานานขนาดนี้ ไม่กลับมาดูเลย กำลังวางแผนทำอะไรใหญ่ๆ อยู่รึเปล่า?”
ตลอดการเดินทางที่ผ่านมาฉินเฟิง ได้เห็นความกังวลของนักปราชญ์ที่มีต่อกองทัพชาวยุทธ์แท้
ดูเหมือนว่ากองทัพชาวยุทธ์แท้ จะเป็นไม้เท้าวิเศษของเขาเหมือนกัน
ตอนนี้เขาจากไปนานขนาดนี้แล้ว ไม่กลัวว่ากองทัพชาวยุทธ์แท้จะมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?
พูดตามตรง นักปราชญ์เข้ามาดูแลกองทัพชาวยุทธ์แท้ไม่นาน ซึ่งหมายความว่าในใจของชาวยุทธ์แท้ สถานะเจ้านายของนักปราชญ์ ยังไม่มั่นคงจริงๆ
นักปราชญ์ไม่อยู่ ชาวยุทธ์แท้ก็ต่อต้านนักปราชญ์ ก็เป็นไปได้เช่นกัน
และที่นี่มีเพียงเสวียนจิ้ง เป็นของเขา เมื่อเทียบกับชาวยุทธ์แท้ เสวียนจิ้ง แม้แต่ความสามารถในการปกป้องตัวเองก็ไม่มี
จัดการกับเสวียนจิ้ง เป็นเรื่องง่ายไม่กี่นาที
พูดตามตรง ฉินเฟิงรู้สึกอยากรู้จริงๆ ว่านักปราชญ์ทำอะไร อะไรที่ทำให้เขาทิ้งกองทัพบริสุทธิ์ได้
เสวียนจิ้ง ตอบเบา ๆ ว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
หลังจากนักปราชญ์จากไป ก็ไม่ได้ติดต่อกับเสวียนจิ้ง
และกองทัพชาวยุทธ์แท้ก็ปกติดี เสวียนจิ้ง ก็ไม่ได้ติดต่อกับนักปราชญ์
ฉินเฟิงพยักหน้าอย่างครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ก็จริง นักปราชญ์ เคลื่อนไหวไม่แน่นอน จิตใจก็ยากจะคาดเดา เขาทำอะไรก็ยิ่งไม่บอกเราพวกที่ทำตัวเป็นลูกน้อง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...
ไหนบอกรักลูกน้องหนักหนา เด็กมันอยากจะเข้าไปเป็นสนมก็จะปล่อยให้เข้าไปงั้นเหรอ ตัวเอกเรื่องนี้มันยังไง พิมพ์ด่านะ แต่ก็อ่าน 55555...