แต่สิ่งที่เลวร้ายก็คือ คำพูดที่เซียวเฉวียนพูดออกไป คนในซินเจียงจำนวนไม่น้อยต่างรับรู้มัน
โดยเฉพาะแม่ทัพแห่งแม่ทัพซินเจียงที่คาดเดาเรื่องพวกนี้ไว้ตั้งแต่แรก เมื่อได้ยินเซียวเฉวียนพูดออกมาเช่นนี้ ต่อให้ยังไม่มีหลักฐานมาเป็นข้อพิสูจน์ แม่ทัพก็มั่นใจว่านักปราชญ์จะต้องเป็นต้นเหตุของสงครามทั้งหมด
แม่ทัพแห่งแม่ทัพซินเจียงอยากจะคว้านลูกตาของนักปราชญ์ออกมา พูดอย่างเยือกเย็นว่า “เป็นเจ้าจริงๆ เหตุใดเจ้าถึงได้มีจิตใจชั่วร้ายถึงเพียงนี้ ไม่สนใจความเป็นความตายของทหารและราษฎร ที่เจ้าทำไปทุกอย่างก็เพื่อประโยชน์ส่วนตัวงั้นหรือ?”
ในเวลาแบบนี้ แน่นอนว่านักปราชญ์ต้องปฏิเสธออกไปโดยธรรมชาติ พวกตะโกนออกไปดังลั่น “เซียวเฉวียน! เห็นได้ชัดว่าเจ้าเป็นฝ่ายผิด แต่เจ้ากลับใช้ถ้อยคำหยาบคายเพื่อใส่ร้ายผู้อื่น!”
พูดจบนักปราชญ์ก็หันมาสบสายตาแม่ทัพแม่ทัพซินเจียง “โจมตีต้าเว่ยคือความประสงค์ของราชินี เจ้าจงทำความเข้าใจให้ชัดเจน อย่าถูกหลอกให้คล้อยตามความเห็นของเขาเป็นอันขาด!”
นี่คือความประสงค์ของราชินี เจ้าเองก็รับมากับมือ
หากข้ามีอำนาจมากขนาดนี้ เหตุใดข้าถึงยังตั้งให้เจ้าเป็นแม่ทัพ?
เป็นแม่ทัพเสียเอง แบบนั้นไม่ดีกว่าหรือ?
ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าใคร
ในสายตาของแม่ทัพแม่ทัพซินเจียง ไม่ว่านักปราชญ์จะเล่นลิ้นมากเพียงใด ความสกปรกในใจของเขาก็ยังไม่เลือนราง
แม่ทัพซินเจียงพูดออกมาว่า “ใช่เจ้าหรือไม่ เรื่องนี้เจ้าก็น่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจ!”
ไม่มีความลับอยู่ในโลก ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องความขัดแย้งระหว่างหมิงเจ๋อกับเซียวเฉวียน ในต้าเว่ยมันก็ไม่ใช่ความลับอะไร ขอแค่เป็นคนที่ชอบพูดคุยเรื่องชาวบ้าน แค่นั้นก็สามารถรับรู้ได้
ด้วยเหตุนี้ ข่าวลือก็จะแผ่กระจายไปจาก 1 เป็น 10 จาก 10 เป็น 100 แม่ทัพซินเจียงเองก็ได้ยินเรื่องพวกนี้เข้าหูมาอยู่บ้าง
ได้ยินมาว่าก่อนที่จะแต่งงานกับองค์หญิงต้าถง เซียวเฉวียนเป็นลูกเขยของตระกูลฉิน เป็นคนขี้ขลาดและไร้ความสามารถคนหนึ่ง
คนแบบนี้จะมายุ่งเกี่ยวกับหมิงเจ๋อได้อย่างไร?
ต่อมาเมื่อเซียวเฉวียนได้แต่งงานกับองค์หญิง กลายเป็นน้องเขยของหมิงเจ๋อ ทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน หมิงเจ๋อรักองค์หญิงที่เป็นน้องสาวผู้นี้มาก จึงไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องลงมือกับเซียวเฉวียน
แต่หมิงเจ๋อกลับต้องการลงโทษเซียวเฉวียน ต้องการเอาโทษถึงตาย ได้ยินมาว่าเขาสั่งให้คนไปสังหารหมู่ตระกูลเซียว และสังหารแม่ของเซียวเฉวียนด้วย
การกระทำเช่นนี้มันจะต้องมีความแค้นมากเพียงใด!
ทั้งสองไม่เคยมีความคับข้องใจกันมาก่อน แต่เหตุใดหมิงเจ๋อจึงต้องทำเช่นนี้กับเซียวเฉวียน?
หลังจากการบอกเล่าของเซียวเฉวียน ในที่สุดแม่ทัพซินเจียงก็เข้าใจเหตุผลของเรื่องราวทั้งหมด ที่แท้มันก็เป็นฝีมือของนักปราชญ์ที่เป็นคนยั่วยุให้หมิงเจ๋อทำเช่นนั้น
ด้วยเหตุนี้ นักปราชญ์เป็นคนที่เจ้าเล่ห์มากจริงๆ
และคำถามก็มาถึง นักปราชญ์กับเซียวเฉวียน คนหนึ่งเป็นคนซินเจียง อีกคนอยู่ในเมืองหลวงแห่งต้าเว่ยอันไกลโพ้น ทั้งสองคนไม่เคยมีความแค้นต่อกันมาก่อน เช่นนั้นเหตุใดนักปราชญ์ถึงได้มุ่งความสนใจไปที่เซียวเฉวียน?
แม่ทัพซินเจียงรู้สึกสับสนกับข้อนี้เป็นอย่างมาก
เขาหันมาหานักปราชญ์ “เจ้ามีความแค้นอะไรกับเซียวเฉวียน? ต่อให้เจ้ามีความแค้นกับเขา ตัวเจ้าเองก็มีความสามารถไม่ใช่หรือ เจ้าไปแก้แค้นเขาด้วยตัวเองก็สิ้นเรื่อง เหตุใดจะต้องทำให้องค์ชายหมิงเจ๋อโกรธ? เหตุใดจึงต้องเกลี้ยกล่อมให้ราชินีก่อสงคราม?”
“เจ้าลองดูให้ดี การที่เจ้าทำเช่นนี้ ต้องมีคนบริสุทธิ์จำนวนเท่าไหร่ต้องจบชีวิตลงเพราะเจ้า!”
แม่ทัพซินเจียงชี้ไปที่ศพบนพื้นด้วยอารมณ์
นักปราชญ์พ่นลมหายใจออกมาอย่างเยือกเย็น “เหตุใดเจ้าถึงไม่เชื่อคำพูดของข้า แต่กลับไปเชื่อคำพูดของคนนอกอย่างเซียวเฉวียน?”
เขายังคงปฏิเสธว่าการที่ราชินีสั่งให้ยกทัพทหารออกไปนั้นไม่เกี่ยวข้องกับเขา
“ราชินีสั่งออกทัพ เป็นเพราะราชินีคิดจะฉวยโอกาสตอนที่เจ้าครองนครก่อกบฏต่อราชวงศ์ต้าเว่ย เพื่อขยายอาณาเขตให้กับซินเจียง”
โอกาสเช่นนี้ หนึ่งชีวิตจะมีสักครั้ง!
เพื่อซินเจียง หรือว่าราชินีไม่ควรจะคว้าโอกาสนี้ไว้?
นี่คือโอกาสที่สวรรค์มอบให้!
เรื่องแบบนี้ยังไม่รับไว้ คิดว่าจะมีโอกาสไหนที่จะสามารถขยายอาณาเขตได้มากกว่านี้อีก?
แม้ว่าแม่ทัพซินเจียงจะเป็นคนของซินเจียง แต่เขาก็ยังมองสิ่งต่างๆ ด้วยเหตุผล
ซินเจียงนั้นไม่ได้แข็งแกร่งเท่าต้าเว่ย รวมถึงอำนาจของกษัตริย์ด้วย ราชินีขึ้นสู่อำนาจ หมิงเจ๋อไม่ปรากฏตัวมาเป็นเวลานาน คนของซินเจียงก็พอจะคาดเดาได้อยู่แล้ว
เสนาบดีในราชสำนักเองก็ยังไม่ยอมรับราชินี
ราชสำนักแห่งซินเจียงทุกวันนี้ อาจกล่าวได้ว่าเสนาบดีและราชินีนั้นมีความขัดแย้งกัน
หากกษัตริย์และขุนนางไม่มีใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นจะเอาชนะศึกได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้น ราชินีพึ่งจะครองอำนาจได้เพียงสองเดือนกว่า นางจะไปเข้าใจกิจของราชสำนักได้อย่างไร?
หรือพูดอีกอย่างก็คือ หากนักปราชญ์ไม่สามารถจัดการกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้ นับตั้งแต่วันนี้ไปก็คงไม่มีใครเรียกเขาว่านักปราชญ์ และก็ไม่มีใครเชื่อว่าเขาคือตัวแทนแห่งเทียนเต๋า
หากไม่มีชื่อเสียงเหล่านี้แล้ว สำหรับชายชราที่ใช้ชีวิตอยู่บนเกียรติยศมาหลายสิบปี มันถือเป็นเรื่องที่แล้วร้ายที่สุด
เปลวไฟที่ประตูลุกลามขึ้นเรื่อยๆ
นักปราชญ์หรี่ตาลง จ้องมองเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้เหล่านั้น ร่องรอยของความดุร้ายและความดูถูกฉายแววอยู่ในดวงตาของเขา เขาพูดด้วยความดูถูกในใจว่า “เป็นแค่คนธรรมดา แต่ดียังไงมาพูดต่อหน้าข้าเช่นนี้?”
มันจะมากเกินไปแล้ว!
แต่นักปราชญ์เองก็ขี้เกียจโต้เถียงกับเขา
เขามองไปรอบๆ สุดท้ายสายตาของเขาก็จับจ้องอยู่ตรงกระบอกปืนที่พาดอยู่บนช่องกำแพง
แม้ว่านักปราชญ์จะไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ตอนนี้เขาก็พอจะรู้ว่ามันน่าจะมีหลักการทำงานเดียวกับธนูและลูกธนู
นักปราชญ์พบว่า จากโจมตีเช่นนี้ของกองทัพต้าเว่ยเองก็มีข้อจำกัดเหมือนกัน
กองทัพต้าเว่ยสามารถเล็งผ่านทางช่องนี้เท่านั้น นี่อาจจะเป็นจุดที่กองทัพต้าเว่ยใช้ในการเล็งและโจมตีพวกเขา
และนี่ก็เป็นเหตุผลทำให้ระยะการมองเห็นของกองทัพต้าเว่ยมีจำกัด
ปืนจะใช้งานได้ผ่านทางช่องตรงกำแพงผ่านแนวระดับ หรือพูดอีกอย่างก็คือ ขอแค่ต้าเว่ยสามารถเข้าไปหลบอยู่ข้างกำแพง ออกห่างจากสายตาของกองทัพต้าเว่ย อัตราความสำเร็จที่กองทัพต้าเว่ยจะโจมตีกองทัพซินเจียงสำเร็จก็มีน้อยมาก
กองทัพซินเจียงสามารถใช้ประโยชน์จากช่องว่างนี้ในการใช้บันไดปีนขึ้นไปด้านบนเพื่อโจมตีกองทัพต้าเว่ยได้อย่างรวดเร็ว
แต่หากต้องการใช้แผนนี้ พวกเขาจะต้องแยกตัวออกจากกัน ให้เซียวเฉวียนสนใจไปจุดใดจุดหนึ่ง ยากที่จะรับมือกับหลายด้านในพร้อมกัน
มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่กองทัพซินเจียงจะสามารถใช้ประโยชน์จากช่องโหว่นี้ได้
อย่างไรก็ตาม นักปราชญ์ยังคงครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ด้วยความสามารถของเซียวเฉวียน เมื่อเขารู้ตัว เขาจะสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ทันที แบบนั้นจะทำให้อัตราความสำเร็จของกองทัพซินเจียงลดลง
หากต้องการให้มันสำเร็จโดยสมบูรณ์ ทางเดียวก็คือต้องหลอกล่อเซียวเฉวียนออกไป
และคนเดียวที่สามารถถ่วงเวลาเซียวเฉวียนได้ก็คือนักปราชญ์
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...