จะไปตำหนิสือหลิ่วที่มีปฏิกิริยาอย่างนี้ไม่ได้
ถึงเธอจะรู้ว่ากองทัพต้าเว่ยบุกตีภูมิภาคตะวันตก และภาคตะวันตกก็อยู่ที่นั้น สงครามเป็นเรื่องใหญ่ จำเป็นต้องมีเซียวเฉวียนคอยบงการบัญชา
ในเวลาอย่างว่านี้ โอกาสที่เซียวเฉวียนจะมาหอเหลียนเซียงคงมีไม่มากมิใช่หรือ ?
เมื่อแน่ใจว่าเป็นเซียวเฉวียน ดวงตาของสือหลิ่วก็เกิดประกายเจิดจ้า ขึ้นไปต้อนรับอย่างกระตือรือร้น "สวัสดี เถ้าแก่ !"
คำว่าเถ้าแก่นี้ มู่จิ่นเป็นคนสอนให้กับสือหลิ่ว
มู่จิ่นบอกว่าใครก็ตามที่เป็นเจ้าของของหอเหลียนเซียง คนนั้นก็คือเถ้าแก่
แต่ว่า มู่จิ่นยังบอกว่าเขาเป็นแค่ศิษย์ของสำนักหมิงเซียน จึงต้องเจียมเนื้อเจียมตัว ขอให้สือหลิ่วอย่าเรียกเขาว่าเถ้าแก่ จดจำไว้ในใจก็พอ
ดังนั้นจึงเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่เซียวเฉวียนเป็นคนแรกที่สือหลิ่วเรียกว่าเถ้าแก่
ที่เซียวเฉวียนมาในครั้งที่แล้ว สือหลิ่วยังปรับตัวกันไม่ทัน จึงไม่ได้เรียกเซียวเฉวียนว่าเถ้าแก่
หลังจากผ่านไปนานพอสมควร เธอก็ปรับตัวได้แล้ว
เซียวเฉวียนพยักหน้าและยิ้ม ๆ เป็นการตอบรับสือหลิ่วแล้ว
จากนั้นเซียวเฉวียนก็ก้าวเข้าไปข้างใน
เวลานี้ สือหลิ่วก็สังเกตเห็นเสวียนอวี๋
เด็กตัวเล็กคนนี้ดูน่ารักมาก ๆ !
สือหลิ่วอดไม่ได้ที่โน้มกายและคิดจะหยิกแก้มของเสวียนอวี๋
แต่กลับถูกเสวียนอวี๋ใช้มือปัดเอามือของเธอออกและพูดอย่างไม่พอใจว่า "พี่สาว ชายหญิงไม่ควรถูกเนื้อต้องตัวกัน"
โธ่ !
สือหลิ่วอดหัวเราะดังๆ ออกมาไม่ได้
ตัวแค่นี้รู้ด้วยหรือว่าชายและหญิงไม่ควรถูกเนื้อต้องตัวกัน ?
สือหลิ่วชักแปลกใจและถาม "เจ้าหนู เจ้าชื่ออะไรจ๊ะ ? "
สือหลิ่วสามารถดูแลหอเหลียนเซียง และบริหารจัดการหอเหลียนเซียงได้เป็นอย่างดี เธอจึงต้องมีสายตาไม่ด้อยแน่นอน
เด็กตัวเล็กแค่นี้ สามารถติดตามตัวเซียวเฉวียนและปรากฏตัวในภูมิภาคตะวันตกที่อยู่ในภาวะสงคราม คิดว่าเด็กคนนี้ต้องมีบางสิ่งที่พิเศษกว่าคนอื่น
เสวียนอวี๋แสดงความไม่พอใจเล็กน้อยกับเสียงหัวเราะของสือหลิ่ว เขารู้สึกว่าสือหลิ่วมีเจตนาจะหัวเราะเยาะเขา ดังนั้นเมื่อสือหลิ่วถามชื่อเขา เสวียนอวี๋ไม่สู้อยากจะแยแสสือหลิ่วนัก
แต่เห็นแก่ความงามและรอยยิ้มอันน่ารื่นรมย์ของสือหลิ่ว เสวียนอวี๋จึงบอกเธอไปอย่างฝืนๆ ว่า "เสวียนอวี๋"
อะไรนะ ?
เสวียนอวี๋ ?
“ลูกศิษย์ตัวน้อยของนักปราชญ์ เสวียนอวี๋นั่นหรือ ?”
ดวงตาของสือหลิ่วเปล่งประกายสดใส เธอมองเสวียนอวี๋ด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง
"เด็กเล็กพูดโกหกไม่ได้นะ"
เสวียนอวี๋อดกลอกตาใส่สือหลิ่วไม่ได้ แล้วพูดด้วยความเคืองว่า "แล้วในโลกนี้มีเสวียนอวี๋คนที่สองไหมล่ะ ? "
ถึงมีก็ไม่ใช่เสวียนอวี๋คนนี้
อืม ดูท่าทางเย่อหยิ่งอย่างเขา เขาดูเป็นเสวียนอวี๋ ศิษย์ตัวน้อยที่รับความโปรดปรานจากนักปราชญ์ไม่ผิดแน่
จะโทษสือหลิ่วว่าไม่รู้จักเสวียนอวี๋ไม่ได้
สือหลิ่วหลายปีมานี้เอาแต่ดูแลจัดการหอเหลียนเซียง ขอบเขตการเคลื่อนไหวของเธอก็มีไม่เกินกี่ลี้รอบบริเวณนี้
แน่นอนเธอไม่ได้เห็นอะไรที่อยู่ในโลกภายนอกเลย
และเสวียนอวี๋ก็ไม่เคยปรากฏตัวที่หอเหลียนเซียงด้วย
เป็นเรื่องปกติที่สือหลิ่วไม่รู้จักเสวียนอวี๋
ตอนนี้เธอมาเห็นเด็กน้อยคนนี้ ดูน่ารักปานนี้
เล่าลือกันว่าเสวียนอวี๋เป็นคนมีฝีมือร้ายกาจมาก
ตอนมองแวบแรก ความน่ารักลักษณะนี้ สือหลิ่วรู้สึกว่ามันไม่บอกถึงฝีมือร้ายกาจอะไรเลยแม้แต่นิด
สือหลิ่วชอบเสวียนอวี๋มาก แต่ความชอบของเธอปรากฏในสายตาของเสวียนอวี๋กลับทำให้รู้สึกว่าเธอยังสู้เด็กอย่างเขาเองไม่ได้เลย
ดูอ่อนหัดมาก ยังด้อยปัญญาด้วย
ถามออกมาได้ว่าเขาเป็นลูกศิษย์ตัวเล็กของนักปราชญ์ใช่หรือไม่แบบนี้
ถ้าเขาเป็นเด็กทั่วๆ ไป เซียวเฉวียนหรือจะมาพาเขาไปนี่ไปโน่น ?
เธอเคยเห็นผู้ใหญ่คนไหนกินข้าวอิ่มท้องแล้วไม่มีอะไรทำ พาเด็กที่ไม่อาจป้องกันตัวเองได้ไปเข้าๆ ออกๆ ในสถานที่เสี่ยงอันตรายงั้นหรือ ?
ไม่มีหรอกนะ !
ต่อหน้าการต้อนรับขับสู้ของสือหลิ่ว เสวียนอว์ก็กลอกตาให้สือหลิ่วอีกครั้งด้วยอารมณ์เคืองๆ จากนั้นก็เดินต้อยๆ ตามเซียวเฉวียนไป
ได้ยินปั๊บ สือหลิ่วก็มีสีหน้าเข้าใจกระจ่างชัด "อย่างนี้นี่เอง"
ทำให้ลูกศิษย์คนโปรดของตัวเองมาทรยศได้ ดูเหมือนว่านักปราชญ์มีการประพฤติที่แย่จริงๆ
เมื่อพูดถึงขนาดนี้แล้ว สือหลิ่วก็ถือโอกาสถามคำถามอีกว่า "ทำไมเถ้าแก่ถึงมีเวลามาหอเหลียนเซียงล่ะ ? "
เวลานี้ เซียวเฉวียนน่าจะอยู่กับกองทัพต้าเว่ย ไปตะเวนยังเมืองต่างๆ ในภูมิภาคตะวันตกมิใช่หรือ
เซียวเฉวียนกล่าวอย่างใจเย็น "กองทัพต้าเว่ยสามารถจัดการส่วนที่เหลือได้"
เพราะกองทัพต้าเว่ยถึงจะเป็นกำลังหลักที่โจมตีภูมิภาคตะวันตก ในเมื่อเมืองอีหลินและเมืองหลวงยึดมาได้แล้ว สนามรบที่เหลือก็ให้ทัพต้าเว่ยรับภาระไป
เซียวเฉวียนไม่เหมาะที่จะเข้าร่วมมากเกินไป มิฉะนั้นจะกลายเป็นว่าไปแย่งผลงานของทัพต้าเว่ยไป
ได้ยินเช่นนี้ สือหลิ่วก็พยักหน้าอย่างครุ่นคิด
ใกล้เวลาทานอาหาร สือหลิ่วก็ทักทายเซียวเฉวียนและเสวียนอวี๋เสร็จ ลุกขึ้นและหันเข้าห้องครัวไป
เถ้าแก่มาแล้ว สือหลิ่วต้องเข้าครัวลงมือเอง ทำอาหารอร่อยๆ สักมื้อหนึ่งให้เถ้าแก่และเสวียนอวี๋ลองชิมดู
แน่นอน ฝีมือการทำอาหารของสือหลิ่วนั้นก็ไม่เท่าไร ที่เธอว่าลงมือทำครัวเอง ก็แค่ไปช่วยพ่อครัวของหอเหลียนเซียงล้างผัก จุดไฟ ประเภทนั้น
อย่างนี้ก็ถือได้ว่าเป็นการเข้าครัวทำอาหารเองแล้ว
เพราะตัวสือหลิ่วก็อยู่ในครัวจริงๆ
ที่ข้างนอก เสวียนอวี๋มองไปรอบ ๆ แล้วมองไปที่เซียวเฉวียนด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ที่จริงเขาก็อยากรู้ว่า เหตุใดเซียวเฉวียนถึงพาเสวียนอวี๋มาที่หอเหลียนเซียง
ไม่สมควรเลยนี่
ตามหลักแล้ว เซียวเฉวียนควรไปตามหาเบาะแสของนักปราชญ์หรือกองทัพนักรบแท้ หรือไม่ก็ควรอยู่กับทัพต้าเว่ยถึงจะถูก
แต่เขาไม่ทำ กลับแวะมาที่หอเหลียนเซียงแทน เป็นไปได้ไหมว่าเซียวเฉวียนกำลังคิดจะกลับเมืองหลวง ?
มาที่หอเหลียนเซียงก็แค่ถือโอกาสแวะมาดูๆ ก่อนที่จะกลับเท่านั้น ?
เมื่อเกิดความสงสัยในใจ เสวียนอวี๋ก็อยากจะทำความเข้าใจ
เขาพูดด้วยสำเนียงเด็กๆ “ลุงเซียว เรากำลังจะกลับเมืองหลวงใช่ไหม ?”
เซียวเฉวียนกล่าวเรียบ ๆ “ก็คิดอยู่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...