แต่เซียวเฉวียนรู้ว่า ตอนนี้นักปราชญ์ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน ทัพต้าเว่ยยังไม่ได้ควบคุมภูมิภาคตะวันตกอย่างสมบูรณ์ เพื่อป้องกันมิให้มีเหตุอื่นเกิดขึ้น เซียวเฉวียนจะยังกลับเมืองหลวงไม่ได้
พอได้ยิน เสวียนอวี๋ก็ดูเข้าใจเรื่องทั้งหมด เขาเอนหัวน้อยๆ แล้วพูดว่า "งั้นลุงเซียวคิดจะค้างที่นี่ชั่วคราวใช่ไหม ?"
เซียวเฉวียนพยักหน้าและพูดว่า "อืม เสวียนอวี๋ฉลาดจริงๆ "
ชื่นชมเสวียนอวี๋คำหนึ่ง เสวียนอวี๋จะครึ้มไปได้ครึ่งค่อนวัน
เด็กๆ นี้เอาใจได้ง่ายมาก
อยู่กับกองทัพต้าเว่ยนานๆ ไม่เหมาะสม จะกลับเมืองหลวงก็ยังไม่ถึงเวลา ดีที่สุดคือหาที่พักในภูมิภาคตะวันตกรอคอยเพื่อประเชิญกับเหตุที่ไม่คาดคิด
หอเหลียนเซียงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
ช่วงนี้เป็นช่วงสงคราม แม้จะไม่วุ่นวายมากนัก ไม่มีแม้แต่การสู้รบ แต่ผู้คนก็รักชีวิตของตัวเอง ในเวลาเยี่ยงนี้ จึงต้องรักษาชีวิตเป็นเรื่องสำคัญ ใครจะกล้าออกมาข้างนอกหาความบันเทิงกันล่ะ
ระวังบันเทิงกันไปบันเทิงกันมา เอาชีวิตบันเทิงทิ้งไปก็ได้
ดังนั้น จนกว่าสงครามจะสิ้นสุดลงจริงๆ พูดให้ตรงประเด็น คือก่อนที่กองทัพต้าเว่ยจะเข้าควบคุมบ้านเมืองเหล่านี้อย่างเป็นทางการ ไม่มีใครกล้าโผล่ออกมาอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า
หอเหลียนเซียงไหนๆ ก็มีห้องว่างเยอะ เซียวเฉวียนจึงตัดสินใจค้างอยู่ในหอเหลียนเซียง อยู่อย่างเงียบสงบดีด้วย
นอกจากนี้ยังสะดวกสำหรับเซียวเฉวียนในการฝึกซ้อมวิทยายุทธ์
ด้วยนิสัยที่ระวังเนื้อระวังตัวของนักปราชญ์ หลังจากที่เขาหลบหนีไป เขาต้องหาสถานที่ซึ่งไม่มีใครรบกวนเพื่อซ่อนตัวและหมั่นฝึกฝนอย่างแน่นอน และจะกำหนดให้การเอาชนะเซียวเฉวียนเป็นเป้าหมายของเขาไปชั่วชีวิต
ดังนั้นเซียวเฉวียนก็ไม่อาจอยู่เฉยๆ ได้ ต้องคอยยกระดับวิชาต่อสู้ของเขาเช่นกัน
ในเวลานี้เอง เสียงของเซียนชิวน้อยก็ดังเข้าหูของเซียวเฉวียน "พ่อจ๊ะ !"
คิ้วของเซียวเฉวียนสะดุดและพูดว่า "อืม ? เกิดอะไรขึ้นที่จวนเซียวหรือ ?"
ปกติหากไม่มีอะไรเกิดขึ้น เซียนชิวน้อยจะไม่รบกวนเซียวเฉวียน
เกิดเรื่องจริง แต่ไม่ใช่ที่จวนเซียว
เซียนชิวน้อยกล่าวว่า "ไม่จ้ะ คือเซียนชิวน้อยเหมือนจะเจอเว่ยหงและเว่ยเยี่ยนแล้ว"
จากนั้น เซียนชิวน้อยก็รายงานทุกสิ่งที่เธอพบเห็นในช่วงไม่กี่วันมานี้ให้เซียวเฉวียนฟัง
ได้ยินปั๊บ เซียวเฉวียนก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ คิดในใจว่า เว่ยหงและเว่ยเยี่ยนไอ้แก่สองคนนี้ ใจกล้าไม่เบาแฮะ
เหตุการณ์กำลังโหมแรงอยู่ยังกล้าแอบเข้าไปในเมืองหลวง การเคลื่อนหมากครั้งนี้ดูแปลกพิลึก
พูดตามตรง เซียวเฉวียนก็คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะแฝงตัวเข้าไปในเมืองหลวงเร็วขนาดนี้
เหนือความคาดคิดของเซียวเฉวียนจริงๆ
ที่ทำให้เซียวเฉวียนยิ่งประหลาดใจคือ ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ พวกเขาทั้งสองยังกล้าที่จะแตะต้องจวนเซียวและจวนฉิน ไม่รู้จะกล่าวว่าพวกเขาใจร้อนเกินไปหรือใจกล้าเกินไปดี
ถ้าเป็นเซียวเฉวียน เซียวเฉวียนจะไม่เลือกที่จะเปิดเผยตัวเองในเวลาแบบนี้
ยิ่งไม่เลือกที่จะดำเนินการในเวลากลางวันแสกๆ
ดังนั้นการกระทำของเว่ยหงและเว่ยเยี่ยนครั้งนี้ ทำให้เซียวเฉวียนไม่แน่ใจว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ในใจกันแน่
เซียวเฉวียนพูดเบา ๆ “เซียนชิวน้อยทำดีมาก ก็ตามนี้ ไว้ชีวิตพวกเขาไปก่อน”
ถึงแม้เซียนชิวน้อยจะบอกว่าแค่อาจเป็นเว่ยหงและเว่ยเยี่ยน แต่ตามคำอธิบายของเซียนชิวน้อย เซียวเฉวียนมั่นใจว่าสองคนนั้นเก้าสิบเก้าส่วนร้อยต้องเป็นเว่ยหงและเว่ยเยี่ยนอย่างแน่นอน
สองคนนี้ยังใช้ประโยชน์ได้อยู่ จึงไว้ชีวิตพวกมันไปก่อน
เซียวเฉวียนกำชับว่า "อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น แต่ต้องป้องกันไม่ให้พวกเขาลงมือกับจวนฉินอีก"
สำหรับจวนเซียวนั้นเซียวเฉวียนไม่ได้กังวล เพราะจวนเซียวมีม่านกำบังปกป้องอยู่ แม้แต่นักปราชญ์ก็ยังไม่สามารถเข้าไปได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเว่ยหงและเว่ยเยี่ยน
แต่ว่าสำหรับจวนฉินนั้น ถึงแม้จะมีทหารคุ้มกันหนาแน่น แต่เว่ยหงและเว่ยเยี่ยนสองคนมีกำลังพอสมควร เกรงว่าพวกเขาจะแสวงหาจังหวะแหกเข้าได้
ดังนั้น เซียวเฉวียนจึงต้องส่งเซียนชิวน้อยไปช่วยดูจวนฉิน
แต่อี้กุยตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่หอคุนหวู แต่ไปอยู่ที่โรงเรียนชิงหยวน
เมื่อได้ยินว่าหอปี้เซิ่งเกิดไฟไหม้ อี้กุยก็อดไม่ได้ที่จะต้องรีบบึ่งไปยังหอปี้เซิ่ง
ระหว่างทาง อี้กุยได้รับข่าวมาอีกเรื่องหนึ่ง ว่าบ่อนการพนันก็เกิดไฟไหม้เหมือนกัน
บังเอิญงั้นหรือ ?
คนโง่ก็ดูออกว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน ต้องมีคนแอบก่อความวุ่นวายแน่ๆ
ทั้งหอปี้เซิ่งและบ่อนการพนันเป็นแหล่งสร้างรายได้ของเซียวเฉวียน เซียวเฉวียนไว้วางใจให้อี้กุยดูแล อี้กุยก็ดูแลด้วยความเอาใจใส่มาโดยตลอด
อี้กุยรู้สึกว่าเขาไม่ได้เจอหน้าฉินซูโหรวมานานแล้ว คิดหาข้ออ้างสักหน่อย ว่าจะขอคำแนะนำเรื่องยาแผนโบราณจากมู่จิ่นจึงไปที่โรงเรียนชิงหยวน
ไม่คิดว่าไปเที่ยวนี้ ร้านอาหารและบ่อนการพนันดันมาเกิดเรื่องวุ่นวาย
แค่คิดก็รู้ ผู้วางเพลิงนี้ไม่เพียงต้องการเผาหอปี้เซิ่งและบ่อนการพนันเท่านั้น แต่ยังจะฉวยจังหวะที่อี้กุยไปอยู่ที่โรงเรียนชิงหยวน ให้ผู้คนในโรงเรียนชิงหยวนก็รับรู้หอปี้เซิ่งและบ่อนการพนันเกิดไฟไหม้ด้วย
สำหรับจุดประสงค์ของผู้อยู่เบื้องหลัง หากอี้กุยเดาไม่ผิด พวกเขาอาจต้องการล่อเสือออกจากถ้ำ รอให้เจี้ยนจงและพวกออกจากโรงเรียนชิงหยวน แล้วลงมือกับโรงเรียนชิงหยวน
วางแผนแนบเนียนกันดีจริง !
ด้วยวิธีนี้ พวกเขาสามารถยิงนกทีเดียวสามตัวด้วยหินก้อนเดียว !
อี้กุยและเจี้ยนจงคิดตรงกัน พูดให้ถูก เมื่อมีคนมารายงานว่าเกิดเพลิงไหม้ที่หอปี้เซิ่ง เจี้ยนจงก็เดาได้แล้วว่าคนที่อยู่เบื้องหลังต้องการจะเอื้อมมือมายันโรงเรียนชิงหยวน
เพลิงที่หอปี้เซิ่ง เจี้ยนจงจะไปช่วย แต่ก็ทิ้งให้โรงเรียนชิงหยวนเกิดอะไรขึ้นไม่ได้
ดังนั้น เจี้ยนจงจึงขอให้อี้กุยไปก่อน เขาจะวางม่านกำบังไว้ที่รอบๆ โรงเรียนชิงหยวนเสร็จแล้ว ค่อยบึ่งไปที่หอปี้เซิ่ง
เซียนชิวน้อยเพิ่งมาถึงหอปี้เซิ่ง ยังไม่ทันที่จะบรรเลงพลังเพื่อดับไฟ เจี้ยนจงก็มาถึงแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...