คำพูดก็ฟังดูดีอย่างนี้
ทำเป็นพูดออกมาว่าจะเป็นผลไม่ดีต่อต้าเว่ย แต่ในความคิดของฮ่องเต้ เหล่าขุนนางพวกนี้ทำเพื่อให้ตำแหน่งของตัวเองมั่นคง
ฮ่องเต้ทรงเห็นความสำคัญต่อครอบครัวนักเรียนยากจน พวกเขาก็คัดค้านต่อต้านอย่างรุนแรง
ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งเซียวเฉวียนเป็นราชครู พวกเขาก็คัดค้านต่อต้านอย่างรุนแรง
สรุปก็คือ ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของพวกเขา พวกเขาก็จะคัดค้านต่อต้านอย่างรุนแรง
ฮ่องเต้มีสีหน้านิ่งสงบ “ขุนนางที่รักทั้งหลาย ที่ผ่านมาทาสคุนหลุนอยู่อย่างสงบมาตลอด มีความจงรักภักดีต่อราชสำนัก ไม่เคยก่อเรื่องอะไร”
ตั้งแต่ต้าเว่ยเริ่มก่อตั้งประเทศมา ยังไม่เคยเห็นทาสคุนหลุนไปรังแกคนอื่น?
พวกเขาไม่โดนคนอื่นรังแกก็ถือว่าดีมากแล้ว
คนคุนหลุนลำบากจนชินแล้ว แต่เมื่อได้รับอิสระเมื่อไร ถ้าราชสำนักให้ชีวิตที่ดีกว่านี้กับพวกเขาเมื่อไร พวกเขาก็จะแค่รู้สึกซาบซึ้งต่อราชสำนักเท่านั้น จะไม่สร้างความวุ่นวายให้กับราชสำนักอย่างแน่นอน
คำพูดของฮ่องเต้ ทำให้ขุนนางใหญ่คนนั้นไม่สามารถโต้แย้งได้อีก
เขามองฮ่องเต้เล็กน้อย สีหน้ามีความไม่พอใจ แต่ไม่สามารถโต้แย้งได้ ทำได้เพียงแค่ยกมือเกาศรีษะของตนเองและพูดว่า “ฝ่าบาททรงตรัสมีเหตุผล ตัวข้าเองที่โง่เขลา”
ขุนนางใหญ่คนนี้ต่อต้านเป็นส่วนของการต่อต้าน แต่เขายังไม่ทำถึงขั้นต่อต้านคัดค้านฮ่องเต้อย่างรุนแรง
เห็นเพื่อนมากมายตักเตือนอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ เขาไม่โง่ถึงขนาดยืนหยัดในความคิดของตนเองต่อไป
เมื่อฟังจากคำพูดที่ฮ่องเต้ทรงตรัสแล้ว ต่อให้เข้ามีเหตุผลมากมายที่คัดค้าน ฮ่องเต้ก็ทรงสามารถปฏิเสธข้อโต้แย้งของเขาได้เสมอ
สุดท้าย ขุนนางก็ต้องพ่ายแพ้ต่อฮ่องเต้
ในเมื่อจุดจบก็เป็นอย่างนี้ ทำไมเขาจะต้องดันทุรังต่อไปอีกละ?
สิ่งสำคัญก็คือดันทุรังต่อไปก็ไม่มีประโยชน์
เมื่อเห็นว่าขุนนางใหญ่คนนี้ยอมแพ้แล้ว ขุนนางใหญ่อีกคนก็เดินออกมา พูดอย่างจริงจังว่า “ฝ่าบาท ข้าน้อยคิดว่า ทาสคุนหลุนไม่ควรจะออกไปจากอันหยวน”
ทาสคุนหลุนถูกกักขังอยู่ที่อันหยวนมานานเป็นสิบปี ก็เหมือนกับคนคุนหลุนที่ถูกผนึกจูเสินปิดกั้นเอาไว้มาตลอด
เมื่อผนึกจูเสินถูกทำลาย ความต้องการของคนคุนหลุนก็ไม่สามารถปิดบังไว้ได้อีกแล้ว ขยายอาณาเขตพื้นที่ครอบครองพื้นที่มากขึ้น
ถ้าทาสคุนหลุนออกไปจากอันหยวน ทำให้พวกเขาได้เรียนรู้โลกภายนอก มีความแข็งแกร่งกล้าหาญ พวกเขาจะต้องเดินตามรอยเท้าของคนคุนหลุน และพวกเขาจะเป็นอันตรายต่อการพัฒนาของต้าเว่ย!
อื้ม เหตุผลในการคัดค้านก็เหมือนๆกันหมด
หลักการเหมือนกัน นั่นก็คือไม่ยอมให้ทาสคุนหลุนออกไปจากอันหยวน
รายละเอียดคำพูดก็คือ คนต่ำต้อยก็ควรอยู่ในที่ที่พวกเขาควรจะอยู่ อย่าออกมาให้คนอื่นเห็นแล้วขัดหูขัดตา ทำให้รู้สึกรังเกียจอึดอัด
เป็นการแสดงออกว่าพวกเขารังเกียจทาสคุนหลุนเป็นอย่างมาก
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ให้พวกเขามาอยู่ที่เมืองหลวง ขุนนางก็ไม่ยอมให้ทาสคุนหลุนออกไปจากอันหยวน
นี้มันเป็นอารมณ์และท่าทีที่ขุนนางควรมีอย่างนั้นใช่ไหม?
ทำให้ฮ่องเต้ทรงผิดหวังอย่างมากจริงๆ
ฮ่องเต้มีท่าทางสงบนิ่งและทรงตรัสว่า “สิ่งที่พวกท่านทั้งหลายพูดมาก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล แต่เรื่องทุกอย่างควรทำอย่างเหมาะสม ถ้าโดนบีบบังคับมากจนเกินไปก็จะโดนตอบโต้แว้งกัด
ตอนนี้ทาสคุนหลุนก็ยังอยู่อย่างสงบที่อันหยวน พวกเขายังไม่ได้ออกไปจากเขตพื้นที่ต้องห้าม ถ้าราชสำนักยังกดดันกักขังพวกเขาเอาไว้อีก ให้พวกเขาอยู่ที่อันหยวนตลอดไป ในอนาคตวันใดวันหนึ่ง ที่พวกเขาไม่สามารถอยู่ที่อันหยวนต่อไปได้แล้ว ออกจากเขตต้องห้ามนี้ไป พวกเขาก็จะสามารถก่อกบฏได้
แทนที่จะทำให้พวกเขาต้องเดินไปถึงจุดนั้น แต่ช่วยให้พวกเขาได้ออกไปจากอันหยวน ให้พวกเขาได้มีทางออก?
บทสรุปสุดท้ายไม่ใช่ว่าจะจบลงอย่างมีความสุข?
ในเมื่อคนส่วนมากเบื่อหน่ายไม่ได้อยากที่จะก่อกบฏ
คนส่วนมากที่ก่อกบฏ เป็นเพราะพวกเขารู้สึกว่าตัวเองหมดหนทางแล้ว ต้องการทำเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอดจึงเลือกที่จะก่อกบฏ
ให้คนอื่นได้มีชีวิตอยู่ต่อไป ก็เหมือนกับเป็นการให้ตัวเองได้มีชีวิตอยู่ต่อไปเช่นกัน
นี่มัน
คำพูดของฮ่องเต้ เมื่อฟังดูแล้วมีเหตุผลอย่างมาก
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ฮ่องเต้สามารถใช้อำนาจของพระองค์เองเพียงคนเดียว ต่อสู้กับเหล่าขุนนาง
คำพูดของพระองค์ เหมือนถูกถ่ายทอดมาจากเซียวเฉวียน พูดจาเก่งกาจ จนทำให้คนอื่นไม่สามารถตอบโต้ได้อีก
นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เซียวเฉวียนต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของทาสคุนหลุน
อันหยวน
ในที่สุดเซียวเฉวียนก็รอค่อยข่าวคราวจากเสี่ยวเซียนชิว บอกว่าฮ่องเต้เห็นด้วยกับคำแนะนำของเซียวเฉวียน
ที่จริงแล้ว เซียวเฉวียนรู้ว่าฮ่องเต้จะต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน และเขาก็รู้ว่าฮ่องเต้จะต้องทำให้เหล่าขุนนางยอมตกลงเห็นด้วยอย่างแน่นอน
ที่ฮ่องเต้ทรงตรัสว่าต้องนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับเหล่าขุนนาง ก็เป็นเพียงแค่ทำตามขั้นตอนเท่านั้น ทำให้เหล่าขุนนางรู้ว่ามีเรื่องนี้เกิดขึ้นด้วยก็เท่านั้นเอง
การตัดสินใจที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ฮ่องเต้
ในเมื่อฮ่องเต้ยอมตกลงแล้ว เซียวเฉวียนก็ยิ่งต้องดำเนินการจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย
ในขณะที่กำลังรอค่อยเวลาอยู่นั้น เซียวเฉวียนก็ได้แบ่งทาสคุนหลุนออกเป็นเจ็ดกลุ่ม หนึ่งกลุ่มต่อหนึ่งรัฐ
หัวหน้าของแต่ละกลุ่ม จะได้รับจดหมายที่เซียวเฉวียนเขียนด้วยตัวเอง
เนื้อหาในจดหมายโดยประมาณก็คือ ให้ผู้นำสูงสุดของทุกรัฐดูแลทาสคุนหลุนอย่างเหมาะสม ห้ามรังแกกดดันพวกเขา
มีจดหมายนี้แล้ว ขุนนางท้องทถิ่นและทหารก็จะไม่กล้ารังแกทาสคุนหลุนอีก
จดหมายฉบับนี้ สามารถพูดได้ว่าเป็นเหมือนเครื่องรางที่เซียวเฉวียนให้ทาสคุนหลุนไว้เพื่อปกกันตัว
นอกจากนี้แล้ว เซียวเฉวียนยังกำชับไป๋ฉี่ให้ไปคอยตรวจตราดู ทาสคุนหลุนที่ใช้ชีวิตอยู่ในรัฐต่างๆ ก็เหมือนเป็นการให้การปกป้องคุ้มครองทาสคุนหลุนด้วยอีก
เรื่องก็ได้จัดการเรียบร้อยแล้ว เซียวเฉวียนก็ให้พวกเขาออกเดินทาง มุ่งหน้าไปยังแต่ละรัฐ
เมื่อเห็นอันหยวนค่อยๆว่างเปล่า ทหารของทางการที่พักอยู่บริเวณรอบๆก็ไม่มีประโยชน์อีกแล้ว
เซียวเฉวียนให้พวกเขากลับไปยังที่ที่เขามา
ทหารของทางการยังคิดว่าตนเองจะต้องอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวีตแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะมีวันที่ได้ออกจากที่นี่ พวกเขาต่างรู้สึกตื่นเต้นดีใจอย่างมาก!
พวกเขาสามารถไปจากที่นี่ได้ เป็นเพราะความช่วยเหลือจากเซียวเฉวียน
ดังนั้น ก่อนที่จะไปจากที่นี่ พวกเขาขอบคุณเซียวเฉวียนแล้วขอบคุณอีก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...