สำหรับเซียวเฉวียนแล้วนี่ไม่ใช่ปัญหา
นับไม่ได้ว่าเป็นเรื่องที่ง่ายๆเลยด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม เจตนาเดิมของเซียวเฉวียนไม่ใช่พวกเขา แต่เป็นพวกทาสคุนหลุนกลุ่มนี้
พวกเขาออกไปจากที่นี่ได้ เพียงแต่จังหวะพอดีเท่านั้น
เซียวเฉวียนพูดเบา ๆ ว่า "ไม่จำเป็นต้องเกรงใจขนาดนี้ แค่ต่อจากนี้ต่อไปปฏิบัติต่อผู้คนให้ดีก็พอแล้ว"
ความหมายอีกนัยนึงคือ อย่าใช้อำนาจเพื่อกลั่นแกล้งผู้อื่น และอย่าวางอำนาจบาตรใหญ่อยู่เหนือประชาชน
เซียวเฉวียนเป็นคนที่ช่วยพวกเขาให้รอดพ้นจากความทุกข์ยากแห่งนี้ ไม่ว่าเซียวเฉวียนจะพูดอะไรก็ต้องตามนั้น พวกขุนนางและทหารก้มหัวพยักหน้าตอบว่า " ข้าน้อยรับทราบแล้วขอรับใต้เท้าเซียว!"
จากนั้นก็ควบม้าออกจากเหวอันหยวนออกไปทันที
ออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รอช้า
หลังจากผ่านไปสองวันทั้งเหวอันหยวนก็เหลือแค่เซียวเฉวียนและเสวียนอวี๋
เสวียนอวี๋มองพื้นที่อันว่างเปล่า และถามอย่างครุ่นคิดว่า "ท่านอาเซียว ท่านคิดว่าเขาจะกลับมาไหม?"
เขาคนที่เสวียนอวี๋หมายถึงก็คือนักปราชญ์
เซียวเฉวียนส่ายหัวขณะที่มองมาทางเสวียนอวี๋แล้วพูดว่า “เจ้าต้องการจะพูดอะไรงั้นหรือ?”
อย่าดูถูกเสวียนอวี๋ที่เขาอายุยังน้อยเชียวนะ เพราะวิธีคิดของเขาไม่เหมือนกับคนรุ่นเดียวกันกับเขาเลย
เสวียนอวี๋เป็นคนบอกเซียวเฉวียนเรื่องที่นักปราชญ์อยู่ที่เหวอันหยวน
ครั้งนี้อยู่ๆเขาก็ถามคำถามเช่นนี้ขึ้นมา หรือว่าเขามีความคิดเห็นอะไรอยู่ในใจหรือเปล่า?
เสวียนอวี่๋ยิ้มมุมปากแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรท่านอา”
อันที่จริง เขาอยากจะบอกว่าเขาไม่รู้ว่านักบุญจะมาที่นี่อีกหรือไม่ ดังนั้นเขาถึงได้ถามเซียวเฉวียน
เสวียนอวี๋และเซียวเฉวียนรออยู่ที่นี่มาหลายวันแล้ว ก็ไม่เห็นนักปราชญ์กลับมาเลย
การรอไม่ใช่ปัญหาอะไร แต่ปัญหาคืออาหารที่เหวอันหยวนนั้นรสชาดมันแย่มาก
เสวียนอวี๋ไม่เคยกินอาหารที่รสชาดแย่ขนาดนี้มาก่อนเลย
แน่นอนว่า เขาไม่ได้รังเกียจพวกทาสคุนหลุน เพียงแต่ว่าเขาใช้ชีวิตโดยไม่ต้องกังวลเรื่องความเป็นอยู่ ไม่เคยเผชิญกับความยากลำบากในชีวิตมาก่อน
โดยเฉพาะหลังจากที่เขาเคยกินอาหารที่หอปี๋เซิ่งและหอคอยเหลียนเซียงแล้ว ต่อมรับรสของเสวียนอวี๋ก็ช่างเลือกมากขึ้น
อาหารที่เหวอันหยวนนั้นมันไม่กลืนไม่ลงจริงๆ
หลายวันมานี้ เสวียนอวี๋แค่ฝืนกินไม่กี่คำเพื่อให้อิ่มท้องเท่านั้น แทบจะไม่มีมื้อไหนที่ได้กินอิ่มท้องจริงๆสักมื้อเลย
พูดง่าย ๆ คือ เขาอดอาหารมาหลายวันแล้ว
เขาอยากจะกินอาหารอร่อย ๆ
เขาอยากจะออกไปจากเหวอันหยวนโดยเร็ว
เซียวเฉวียนเหมือนจะดูออกว่าเสวียนอวี๋คิดอะไรอยู่ เขายิ้มเบาๆแล้วพูดว่า “ถ้างั้นพวกเรารออีกสักสองวัน ถ้าเขายังไม่กลับมาพวกเราก็กลับเลยเจ้าว่าดีไหม?”
รออีกสองวันเกิดนักปราชญ์กลับมา เซียวเฉวียนและเสวียนอวี๋ก็ไม่ได้รอโดยเปล่าประโยชน์ หากเขาไม่กลับมาพวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปตามหาร่องรอยของนักปราชญ์ยังสถานที่อื่นต่อไป
เสวียนอวี๋พยักหน้าเห็นด้วย
ลึกเข้าไปในทะเลทราย
นักปราชญ์หาสถานที่ลึกลับแห่งหนึ่งและเริ่มสอนเสวียนจิ้งฝึกวิชากังฟู
เสวียนจิ้งมุ่งมั่นคิดแต่จะแก้แค้น เขาจึงมีความตั้งใจฝึกมาก
แม้ว่าความสามารถจะไม่เพียงพอ แต่ความพยายามนั้นยังมีอยู่
หลังจากผ่านการฝึกสอนของนักปราชญ์มาหลายวัน กังฟูของเสวียนจิ้งก็ได้พัฒนาขึ้นมาก
ระหว่างที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับนักปราชญ์มาหลายวัน เสวียนจิ้งก็มีคำถามถามนักปราชญ์หนึ่งคำถาม เมื่อนักปราชญ์กลับมาที่ทะเลทรายมานานหลายวัน แล้วหมิงเจ๋อล่ะจะทำอย่างไง?
นักปราชญ์ก็ไม่คิดที่จะปิดปังเสวียนจิ้ง จึงได้บอกกับเขาว่าหมิงเจ๋อตายแล้ว
แต่นักปราชญ์ไม่ได้บอกรายละเอียดว่าเขาเป็นคนฆ่าหมิงเจ๋อ แต่กลับบอกว่าเซียวเฉวียนเป็นคนฆ่าหมิงเจ๋อตายอย่างอนาถแทน
เดิมทีเสวียนจิ้งวางแผนอยากจะสานสัมพันธ์ที่ดีกับหมิงเจ๋อ รอพวกเขาสังหารเซียวเฉวียนได้แล้ว เสวียนจิ้งยังอยากขอให้หมิงเจ๋อช่วยเกลี้ยกล่อมองค์หญิงต้าถงให้แต่งงานกับเสวียนจิ้ง
แต่ไม่คาดคิดว่าหมิงเจ๋อจะตายแล้ว และยังตายในกำมือของเซียวเฉวียนเสียด้วย
แต่อย่างไรก็ตามเสวียนจิ้งก็ไม่ใช่คนที่จะโดนหลอกง่าย ๆ เขาสงสัยแล้วถามว่า "ในขณะที่เซียวเฉวียนฆ่าองค์ชาย อาจารย์ท่านไม่ได้อยู่กับองค์ชายใช่หรือไม่?"
หากเขาอยู่ ด้วยวิชากังฟูของนักปราชญ์ไม่น่าจะปกป้องหมิงเจ๋อไว้ไม่ได้นี่
คำพูดเหล่านี้ทำให้หัวใจของเสวียนจิ้งต้องเต้นรัว และเขาก็รีบตอบว่า "คำสอนของอาจารย์นั้นกล่าวถูกต้องแล้ว ศิษย์จะทำตามคำชี้แนะของอาจารย์!"
นักปราชญ์พูดอย่างใจเย็น “ดีแล้ว เอาล่ะรีบฝึกวิชาต่อเถอะ เราจะออกจากที่นี่ในอีกสองวัน ”
จะออกจากที่นี่ในอีกสองวัน?
เสวียนจิ้งมองดูนักปาชญ์ด้วยความสงสัย จะออกไปจากที่นี่แล้วเหรอ?
ด้วยวิชากังฟูของเสวียนจิ้งในตอนนี้ เขาจะทำอย่างไรถ้าได้พบกับเซียวเฉวียน?
อย่าพูดเลยว่าจะเอาชนะเซียวเฉวียนได้ แม้แต่นิ้วของเซียวเฉวียนยังไม่สามารถแตะต้องได้มั่ง?
แต่เมื่อคิดถึงคำพูดที่นักปราชญ์พูดเมื่อสักครู่ เสวียนจิ้งก็รีบเก็บสีหน้าอาการขี้สงสัยทันที แล้วรีบตอบว่า "ได้!"
นักปราชญ์ตัดสินใจเช่นนี้ เขาจะต้องมีเจตนาและแผนการณ์ของเขาแล้ว
ขืนถามมากไปจะทำให้นักปราชย์ไม่พอใจได้
ในเมื่อตัดสินใจติดตามนักปราชญ์แล้ว เสวียนจิ้งก็ต้องเดินตามรอยเท้าของนักปราชญ์
นักปราชญ์ค่อนข้างพอใจกับปฏิกิริยาของเสวียนจิ้ง
ด้วยความพึงพอใจเขาเลยพูดกับเสวียนจิ้งเพิ่มอีกสองคำ
เขาบอกว่าสำหรับวิชากังฟูของเสวียนจิ้งในตอนนี้ แม้เขาจะไม่สามารถแข่งกับเซียวเฉวียนได้ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับชาวยุทธส่วนใหญ่แล้ว ฝีมือของเขาถือว่าดีมากแล้ว
ตราบใดที่เขาขยันหมั่นฝึกฝนเป็นระยะเวลาหนึ่ง เขาก็จะเป็นคนที่แข็งแกร่งได้เหมือนกัน
สิ่งที่ทำให้คนเป็นลูกศิษย์ดีใจที่สุดคือการได้รับคำชมจากอาจารย์ของเขา
คำพูดของนักปราชญ์ทำให้เสวียนจิ้งมีความมั่นใจเป็นอย่างมาก
นักปราชญ์ยังกล่าวอีกว่าสิ่งที่เขากำลังสอนเสวียนจิ้งในขณะนี้ เป็นวิธีการฝึกที่รวดเร็วซึ่งสามารถเพิ่มวิชากังฟูของเสวียนจิ้งได้อย่างมากภายในระยะเวลาอันสั้น
นี่คือเหตุผลที่เสวียนจิ้งรู้สึกว่าเขามีความก้าวหน้าอย่างมากในหลายวันนี้
ถ้าไม่อย่างนั้น ใช้วิธีฝึกฝนแบบเดิม ๆ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีความก้าวหน้ามากขนาดนี้ในเวลาเพียงไม่กี่วัน
และหากไม่ถึงครึ่งปีแทบไม่เห็นผลใด ๆ เลยด้วยซ้ำ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...