สายตาที่เลื่อมใสมองมาที่เซียวเฉวียนด้วยความเปล่งประกาย
องค์ชายแห่งคุนหลุนผู้สง่างาม ในที่สุดก็ไม่อาจปิดกั้นความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองเอาไว้ได้ เอ่ยปากออกมาว่า “ใต้เท้าเซียว ท่านโน้มน้าวใจพวกเขาด้วยวิธีใด?”
ช่างอยากรู้รายละเอียดของเรื่องราวที่เกิดขึ้นเหลือเกิน
ไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่จะบอกว่า ที่ดินนั้นมีค่าเท่ากับครึ่งชีวิตของเจ้าของที่ดิน
เซียวเฉวียนสามารถทำให้พวกเขายอมส่งมอบที่ดินให้แต่โดยดีโดยไม่มีการโต้แย้งใดๆ นี่มันไม่สอดคล้องต่อสามัญสำนึก!
นอกจากนั้น ชิงหลงยังได้ยินขุนนางในร้านพวกนั้นพูดกับผู้จัดการร้านสวี เพราะในตอนนั้นชิงหลงและเซียวเฉวียนกำลังแอบฟังผู้จัดการร้านสวีพูดคุยกับแขกในร้านอยู่บนหลังคาด้านบน
จากคำพูดของพวกเขาแสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจที่พวกเขามีต่อเซียวเฉวียน และความไม่พอใจพวกนั้นก็ไม่ใช่เพียงเล็กน้อย มันอาจกล่าวว่าเป็นการเกลียดชังได้เลย
ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น เซียวเฉวียนสามารถใช้คำพูดเพียงไม่กี่คำทำให้ทัศนคติของพวกเขาเปลี่ยนไป มันเป็นสิ่งที่ควรค่าที่ชิงหลงจะเรียนรู้
แม้ว่าอาจจะไม่สามารถเรียนรู้ได้สำเร็จ แต่อย่างน้อยได้ฟังรายละเอียดก็ยังดี
เซียวเฉวียนยิ้มออกมาเล็กน้อย “ตราบใดที่เข้าใจจิตวิทยาและความรู้สึกของพวกเขา ทุกอย่างก็สามารถทำให้เป็นจริงได้”
ที่ดินมีความสำคัญกับขุนนางเหล่านั้นแน่นอน
แต่สำหรับคนในยุคสมัยนี้ สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือใบหน้าและชื่อเสียง
พวกเขามักจะเห็นสิ่งเหล่านี้สำคัญกว่าชีวิตของพวกเขา
แม้แต่คนที่ทำเรื่องชั่วร้ายก็ยังให้ความสำคัญต่อใบหน้าและเชื่อเสียง
เว่ยเชียนชิวถือเป็นตัวอย่างที่ดี
เขาทำสิ่งที่ไร้ยางอายไปมากมาย แต่เขาไม่เคยทิ้งจุดอ่อนหรือร่องรอยอะไรไว้เลย ทั้งหมดก็เพื่อปกป้องใบหน้าและชื่อเสียง เพื่อไม่ให้ถูกผู้อื่นวิพากษ์วิจารณ์
หากมีใครกล้าวิพากษ์วิจารณ์เว่ยเชียนชิวในที่สาธารณะแม้แต่เพียงครึ่งคำ เมื่อเว่ยเชียนชิวและคนของเขารู้ตัว พวกเขาก็จะปลิดชีวิตของอีกฝ่ายทันที
ทั้งหมดก็เพื่อปกป้องชื่อเสียงและหน้าตาของตัวเอง
สรุปก็คือ ไม่ว่าข้าเว่ยเชียนชิวจะทำเรื่องราวที่เลวร้ายและผิดพลาดไปสักกี่ครั้ง ข้าก็ไม่ยอมให้ผู้ใดกล่าวถึงมันแม้แต่ครึ่งคำ
ไม่เพียงแค่นั้น เขายังต้องการให้ผู้คนปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพทุกครั้งที่ได้พบเห็นเขาด้วย
ขุนนางเองก็เช่นกัน
พูดตามตรง คนสมัยก่อนให้ความสำคัญกับชื่อเสียงจอมปลอมมากที่สุด
เซียวเฉวียนจึงเติมเต็มความปรารถนาให้พวกเขา และมอบโอกาสที่จะทำให้พวกเขาเป็นที่จดจำตลอดไป
มีชื่อเสียงคงอยู่ไปชั่วนิรันดร์ จะมีสักกี่คนที่ไม่ปรารถนาถึงมัน?
และวันนี้มันก็วางอยู่ตรงหน้าของขุนนางเหล่านี้แล้ว หากขุนนางพวกนี้ไม่หวั่นไหวถึงจะแปลก!
การมอบในสิ่งที่ผู้อื่นต้องการ ถือเป็นหนึ่งในวิธีการเอาชนะที่ดีที่สุด
มันก็แค่มอบชื่อเสียงอันจอมปลอมให้กับพวกเขา ไม่ต้องใช้เงินหรือใช้แรงแต่อย่างใด จากนั้นก็แค่ใช้เงินในการสนับสนุนเพียงเล็กน้อยเพื่อแลกกลับที่ดินจำนวนมาก แบบนี้ไม่เรียกคุ้มค่าแล้วจะเรียกว่าอะไร!
ได้ยินเช่นนั้น พวกของชิงหลงก็อดไม่ได้ที่จะมองเซียวเฉวียนอีกครั้งด้วยดวงตาที่เป็นประกาย
ในใจคิด เป็นมนุษย์เหมือนกัน เหตุใดเซียวเฉวียนถึงได้โดดเด่นและเฉียบแหลมถึงเพียงนี้?
ทำไมเรื่องราวต่างๆ ถึงสามารถจัดการได้อย่างง่ายดายเมื่ออยู่ในมือของเขา?
มันทำให้รู้สึกเจ็บปวดเหลือเกินเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับตัวเอง
เซียวเฉวียนได้ยินเสียงหัวใจของคนเหล่านี้ เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ เพราะข้าเซียวเฉวียนมีสิ่งที่เรียกว่ากฎเกณฑ์ของตัวเองอยู่ไงล่ะ!
หูโจว หมู่บ้านจาง
นักปราชญ์และเสวียนจิ้งยังคงอาศัยอยู่ในบ้านของครอบครัวนั้น
พวกเขาใช้ชีวิตอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน กลางวันไม่ออกไปไหน มากที่สุดก็แค่เดินอยู่ตรงสวนรอบบ้านเท่านั้น
ในช่วงเวลาที่เหลือจากนั้น ส่วนใหญ่ทั้งสองคนก็เอาแต่ซ่อนตัวฝึกซ้อมอยู่ในห้องฝึกฝน
สถานการณ์ปัจจุบันตึงเครียด มีความเป็นไปได้ว่าเซียวเฉวียนจะตามตัวพวกเขาเจอตลอดเวลา สิ่งที่พวกเขาทำได้คือการพักผ่อนให้เต็มที่ ฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวเอง
แม้แต่เสวียนจิ้งเองก็ฝึกซ้อมหนักกว่าเมื่อก่อนเป็นอย่างมาก
หลังจากที่ได้เห็นเซียวเฉวียน มันก็ทำให้เขาได้เข้าใจในทันที หากต้องการแก้แค้นเซียวเฉวียน สิ่งแรกที่เขาต้องทำก็คือทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้
ทาสคุนหลุนเดินทางเข้ามาในเขตของหูโจว พวกเขาเดินทางไปอย่างไม่มีสิ่งกีดขวาง
แม้ว่าจะมีชาวบ้านนินทาพวกเขาตลอดทาง แต่ชาวบ้านพวกนั้นก็เว้นระยะห่างออกไปพอสมควร ไม่ได้เข้าใกล้หรือทำอะไรที่มันมากเกินไปกับทาสคุนหลุน
แม้ว่าทาสคุนหลุนจะอยู่ในสถานที่ซึ่งมีคนพลุกพล่าน แต่พวกเขาก็ไม่ได้ล่าช้าลงเลย พวกเขาเพิ่มความเร็วและรีบเดินทางออกมาจากฝูงชนเหล่านั้น
ดังนั้นต่อให้ชาวบ้านอยากจะสร้างความลำบากใจให้กับทาสคุนหลุน พวกเขาก็ไม่มีเวลาและโอกาสที่จะทำอย่างนั้น
ผ่านไปครู่หนึ่ง ตอนนี้เหล่าทาสคุนหลุนเดินทางมาถึงสถานที่มีประชากรเบาบาง พื้นที่ค่อนข้างราบเรียบ พวกเขาจึงหยุดเดินทางและนั่งลงเพื่อพักผ่อน
พวกเขาเดินทางติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายวัน เมื่อเดินทางผ่านสถานที่ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของผู้คน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น พวกเขามักจะเพิ่มความเร็วเพื่อให้เดินทางออกมาจากสถานที่เหล่านั้นให้เร็วที่สุด
เดินทางมาถึงตรงนี้ บอกตามตรงเลยว่า พวกเขารู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก
ผู้นำของทาสคุนหลุนกลุ่มนี้มีอายุค่อนข้างมาก เขามีชื่อว่า มานจงเฮ่อ
เขามองไปรอบๆ พบว่าสถานที่แห่งนี้ค่อนข้างราบเรียบ ไกลออกไปมีภูเขาหลายลูกทับซ้อนกันอยู่ กลายเป็นเกราะป้องกันทางธรรมชาติ ปกป้องที่นี่ไว้เป็นศูนย์กลาง
ด้านหน้าไม่มีหมู่บ้านหรือร้านค้าอะไรตั้งอยู่ ไม่จำเป็นต้องติดต่อกับผู้คนภายนอก ซึ่งหลีกเลี่ยงปัญหาได้ไม่น้อย
มานจงเฮ่อรู้สึกว่าที่นี่นั้นไม่เลวเลยทีเดียว
ดังนั้นเขาจึงเสนอต่อทุกคนออกไปว่า “พวกเรามาตั้งรากฐานที่นี่กันดีหรือไม่?”
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้น พวกเขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ สุดท้ายก็พยักหน้าและแสดงออกว่าเห็นด้วยกับข้อเสนอของมานจงเฮ่อ
นี่แห่งนี้ไม่เลวเลยจริงๆ เหมาะกับพวกเขาเป็นอย่างมาก
เนื่องจากตัดสินใจแล้วว่าจะตั้งรากฐานที่นี่ หลังจากทาสคุนหลุนพักผ่อนไปสักระยะหนึ่งแล้ว พวกเขาก็ใช้โอกาสตอนที่ยังมีแสงอาทิตย์ในการไปหาไม้เพื่อสร้างกระท่อมชั่วคราวในการพักอาศัย
แม้ว่าจะเหนื่อย แต่เมื่อคิดว่าตนเองจะได้บ้านใหม่ และมีชีวิตใหม่ กำลังใจของทุกคนก็เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
แม้แต่เด็กๆ ก็ให้ความช่วยเหลือเหล่าผู้ใหญ่ด้วยรอยยิ้มอันสดใสบนใบหน้าของพวกเขา
นี่คือฉากที่เต็มไปด้วยความรัก
แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ มีดวงตาคู่หนึ่งอยู่ในความมืด จ้องมองพวกเขาอย่างกระตือรือร้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...