เซียวเฉวียนตอนนี้กำลังหยีตามองดูภาพที่เขาเพิ่งแปะขึ้นไป เห็นรอบๆ มีชาวบ้านมามุงมากมายเหลือเกิน ชาวบ้านต่างชี้นิ้วไปที่ภาพนั้นและซุบซิบกันต่างๆ นาๆ
พวกเขาว่านักปราชญ์เป็นปีศาจ สมควรตาย
ต้องลงนรกสิบแปดชั้น อย่าให้กลับมาเกิดเป็นคนอีกเลย !
ได้ยินคำสาปแช่งของชาวบ้าน นัยน์ตาของเซียวเฉวียนก็อดส่งยิ้มอย่างภาคภูมิใจไม่ได้
ชาวบ้านยิ่งเกลียดชังนักปราชญ์มากเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งจดจำรูปลักษณ์ของนักปราชญ์ได้ชัดเจนยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
ด้วยเช่นนี้ นักปราชญ์ที่คิดจะอยู่ปะปนในหมู่ฝูงชน เกรงว่าจะยากเสียแล้ว
นอกจากว่า เขาจะเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนโฉมให้ตัวเองเสียใหม่
ถึงอย่างไร คิดว่านักปราชญ์คงไม่มีปัญญานี้ ถ้าเขาทำได้ เขาคงไม่ถูกเซียวเฉวียนไล่ล่าเอาชีวิตมาถึงขนาดนี้ ยังจ้องมองที่ใบหน้านี้อยู่ด้วย
อาจเป็นเพราะมีคนมากและหนวกหู เซียวเฉวียนไม่ได้สังเกตว่าเสวียนจิ้งมาปรากฏตัวที่นี่ในเมื่อตะกี้
ดังนั้นเซียวเฉวียนจึงพลาดเบาะแสในเสวียนจิ้งที่จะตามหานักปราชญ์
ที่นี่ไม่ใช่หมู่บ้านจาง ยังอยู่ห่างจากหมู่บ้านจางอีกพอสมควร เป็นสถานที่ที่ไพร่คุนหลุนเดินผ่านก่อนที่จะพบที่ปักหลัก
อาจกล่าวได้ว่าอยู่ติดกับหมู่บ้านจาง
แต่ที่ว่าอยู่ติดกันนี้ ยังมีระยะห่างพอสมควรเท่านั้น
ผ่านไปราวหนึ่งนาที เซียวเฉวียนก็หันหลังเตรียมจะกลับ เขาจะกลับไปยังสถานที่ที่ไพร่คุนหลุนตั้งรกรากอยู่
เพื่อให้ผู้คนแยกแยะได้ง่ายว่าไพร่คุนหลุนตั้งรกรากอยู่ที่ไหน ขอให้สถานที่นั้นมีแต่ไพร่คุนหลุนล้วนๆ เซียวเฉวียนก็เรียกสถานที่เหล่านั้นว่าเป็นหมู่บ้านคุนหลุน
จากนั้นตามหลังด้วยชื่อของเมือง
เช่นถ้าอยู่ในเมืองหูโจว สถานที่ซึ่งไพร่คุนหลุนตั้งถิ่นฐานก็จะเรียกว่าหมู่บ้านคุนหลุนหูโจว
หากเป็นไพร่คุนหลุนที่ไปอยู่เมืองหวูโจว แล้วเลือกสถานที่รกร้างเพื่อตั้งถิ่นฐาน สถานที่นั้นก็จะถูกเรียกว่าหมู่บ้านคุนหลุนหวูโจว
เซียวเฉวียนและพวกเจี้ยนจงนัดกันไว้ว่า เมื่อแปะภาพวาดเสร็จ ก็กลับไปรวมตัวกันที่หมู่บ้านคุนหลุนหูโจว
คนแรกที่กลับมาคือเซียวเฉวียน
เมื่อไป่ฉีเห็นเซียวเฉวียนกลับมา เขาถามด้วยความอยากรู้ว่า "ท่านเซียว ท่านได้สืบทราบที่อยู่ของนักปราชญ์แล้วหรือ ?"
เพราะเซียวเฉวียนและพวกได้ไปจากที่นี่มานานกว่าสองวันแล้ว
ด้วยกำลังของเซียวเฉวียน บวกกับกำลังของพวกเจี้ยนจง พวกเขาควรจะสามารถสืบหาเจอที่อยู่ของนักปราชญ์
เซียวเฉวียนกล่าวอย่างใจเย็น "เจออะเจอแล้ว แต่เขาหนีไปได้อีกแล้ว"
ได้ยินว่านักปราชญ์หลบหนีไปอีก ไป่ฉีก็อดประหลาดใจไม่ได้ เขาสามารถหลบหนีไปต่อหน้าสายตาคนมากมายขนาดนี้ได้ ความสามารถไม่ใช่ธรรมดาเลยนะ
แต่ว่า นักปราชญ์คนนี้มีเล่ห์เหลี่ยมจัด ทั้งยังฉลาดเฉียบแหลม หากเขาวางแผนล่วงหน้าและรู้ความเคลื่อนไหวของพวกเซียวเฉวียนล่วงหน้า ก็ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะสามารถหลบหนีได้
ได้ยินเสียงในใจของไป่ฉี เซียวเฉวียนก็อดจะมองไป่ฉีด้วยดวงตาเป็นประกายไม่ได้แล้วพูดว่า "ไป่ฉี เจ้าวิเคราะห์ได้ไม่ผิดแม้แต่น้อย"
เพราะให้พวกเขาได้รู้ล่วงหน้าถึงการเคลื่อนไหวของพวกเซียวเฉวียน ก็จะทำให้พวกเขามีโอกาสหลบหนีได้
ความคิดของไป่ฉียิ่งมายิ่งละเอียดอ่อนขึ้นเรื่อยๆ
ได้รับคำชื่นชมจากเซียวเฉวียน ไป่ฉีก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกหัวด้วยความเคอะเขิน ไม่รู้จะกล่าวอะไรดีอยู่ครู่หนึ่ง
จากนั้น เซียวเฉวียนบอกไป่ฉีเกี่ยวกับภาพวาด พอได้ฟังแล้ว ดวงตาของไป่ฉีก็ส่งประกายและพูดว่า "ท่านเซียว แผนนี้เยี่ยมมาก !"
ความหมายลึกซึ้งในแผนนั้น เซียวเฉวียนไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ละเอียด ไป่ฉีพอเข้าใจได้คร่าวๆ แล้ว
ความสามารถในการรับรู้เข้าใจของไป่ฉีได้ขยับสูงขึ้นมากนี้ ว่ากันว่าต้องขอบคุณการอบรมสั่งสอนอย่างเอาใจใส่ของอู๋อิ่ง
ตอนอยู่ที่จวนเจ้าเมืองมู่อวิ๋น อู่อิ่งยามว่างจะอู้อยู่ในจวน เล่าเรื่องที่ฟังมาหรือประสบการณ์ของเขาให้ไป่ฉีฟัง จากนั้นก็ให้ไป่ฉีบอกความรู้สึกนึกคิดหลังจากที่ฟังมา
ถึงอย่างไร เสวียนจิ้งก็รู้ว่าแผนนี้ทำให้เสื่อมเสีย แต่ผลที่ได้จะโหดมาก
หากเสวียนจิ้งเป็นนักปราชญ์ เขาก็จะไม่ไปปรากฏตัวต่อหน้าผู้อื่น ต้องพยายามอย่างที่สุดเพื่อไม่ให้คนมารู้เห็นร่องรอยของตัวเอง
ตลอดทาง ในหัวของเสวียนจิ้งครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ว่าจะบอกนักปราชญ์หรือไม่ และจะบอกอย่างไร
เขาคิดร่างคำประโยคซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หลังจากเดินมาครึ่งค่อนวัน เสวียนจิ้งหิวมากจนท้องตีกลองขึ้นอีก เขาสุ่มหาโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งแล้วเข้าไปรับประทานอาหาร
เมื่อรับประทานมาได้ครึ่งทาง เขาก็จำได้ว่าสถานที่ที่นักปราชญ์อยู่ตอนนี้อยู่ในถิ่นทุรกันดาร คงไม่มีอะไรให้กิน
ดังนั้น เสวียนจิ้งจึงซื้ออาหารห่อเผื่อนักปราชญ์ จากนั้นซื้ออาหารแห้งประเภทอย่างซาลาเปาที่ข้างนอก ยามท้องว่าง เขาจะได้บรรเทาความหิวได้
เสวียนจิ้งเดินทางอีกประมาณสองชั่วโมง ในที่สุดก็มาถึงสถานที่ที่นักปราชญ์อยู่
เสวียนจิ้งหายใจหอบจากการเดินทาง
เขายื่นอาหารในมือให้นักปราชญ์พลางพูดว่า "อาจารย์ ลูกศิษย์ซื้ออาหารห่อมาเผื่อระหว่างทาง ท่านลองชิมดู"
แม้ว่าความร้อนจะหมดไป แต่ตอนนี้อากาศก็ไม่หนาว อาหารเย็นแล้วก็รับประทานได้ ไม่กระทบต่อรสชาติ
หลังจากกินเนื้อย่างไร้รสชาติมาหลายมื้อที่นี่ นักปราชญ์ก็อยากจะลองทานอาหารข้างนอกมานานแล้ว
เสวียนจิ้งทำได้ไม่เลวครั้งนี้ ยังรู้จักนำอาหารอร่อยๆ มาให้นักปราชญ์ระหว่างทางมาที่นี่ นักปราชญ์ไม่ได้รับศิษย์คนนี้มาเสียเปล่าจริงๆ
จนกระทั่งที่นักปราชญ์รับประทานอาหารเสร็จ เสวียนจิ้งแอบมองที่นักปราชญ์และลังเลว่าจะเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับภาพวาดนั้นอย่างไรดี
เมื่อสังเกตเห็นเสวียนจิ้งเหมือนมีอะไรจะพูด นักปราชญ์ก็อดไม่ได้ที่จะมองเขาเฉื่อย ๆ แล้วเอ่ยว่า "มีอะไรก็พูดมา ไม่ต้องมาลังเลอย่างงั้น"
เสวียนจิ้งหายตัวไปสองวัน นักปราชญ์พยายามติดต่อเขาก็ติดต่อไม่ได้ ทีนี้มาทำเหมือนจะพูดอะไรก็ไม่พูด นักปราชญ์เห็นแล้วอารมณ์บ่อจอย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...