แน่นอน เซียวเฉวียนเองก็วางแผนที่จะค้างคืนกับทาสคุนหลุนที่นี่
เนื่องจากทาสคุนหลุนมีจำนวนมาก เพื่อความสะดวก พวกเขาจึงเลือกที่จะพักผ่อนอยู่กลางแจ้ง
ในฐานะที่เป็นพวกฝึกวิทยายุทธ์ ร่างกายแข็งแรง สภาพอากาศเองก็ดี นอนอยู่กลางแจ้งจึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับพวกเขา
ส่วนพวกผู้หญิง คนชราและเด็ก แค่ก่อกองไฟให้พวกเขา เท่านั้นก็ไม่มีปัญหาแล้ว
ชาวบ้านในพื้นที่กระตือรือร้นให้พวกของเซียวเฉวียนแบ่งกันเข้าไปพักในบ้านของพวกเขา
เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถปล่อยให้ราชครูผู้สง่างามแห่งต้าเว่ยนอนอยู่กลางแจ้งแบบนี้ไม่ได้!
แต่หลังจากที่เซียวเฉวียนขอบคุณพวกเขา สุดท้ายก็ปฏิเสธพวกเขาไปอย่างสุภาพ
เนื่องจากเซียวเฉวียนรู้สึกว่า หากการคาดเดาของเขาถูกต้อง นักปราชญ์และลูกศิษย์ของเขาน่าจะลงมือในคืนนี้
เซียวเฉวียนคิดว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะได้นอนหลับอย่างสงบ
การนอนอยู่กลางแจ้งก็ไม่จำเป็นต้องรบกวนการพักผ่อนของชาวบ้าน
ภาพวาดของอาจารย์และลูกศิษย์กระจายไปทั่ว หลังจากที่เซียวเฉวียนปิดทางหนีทีไล่ของพวกเขาแล้ว หากพวกเขาไม่กล้าเดินทางในเวลากลางวัน แบบนั้นก็ทำได้เพียงเลือกเดินทางในเวลากลางคืนเท่านั้น
ด้วยระดับความเข้าใจของนักปราชญ์ เขารู้ต้องรู้แล้วว่าเซียวเฉวียนเดินทางมายังเกาะนกกระสา เพื่อหลีกเลี่ยงค่ำคืนแห่งความฝันอันยาวนาน เขาจะต้องหาหนทางในการไปจากเกาะนกกระสาโดยเร็วที่สุด
ซินเจียงนั้นแห้งแล้งตลอดทั้งปี แถมไม่มีพื้นที่ติดกับทะเล
และคนส่วนใหญ่ในซินเจียงก็ไม่เชี่ยวชาญเรื่องน้ำ
และคนที่คุ้นเคยกับความสันโดษอย่างนักปราชญ์ เขาคือคนที่มีความสามารถ แน่นอนว่าเขาไม่เคยคิดที่จะหัดว่ายน้ำ เนื่องจากเขาคิดว่ามันไม่จำเป็น
เกรงว่าต่อให้อยู่ในความฝันเขาก็คงคิดไม่ถึงว่าชีวิตของเขาจะเดินมาถึงจุดที่เป็นอยู่ในวันนี้
และสิ่งที่ยิ่งกว่านั้นคือ เซียวเฉวียนไม่แม้แต่จะทิ้งเรือสักลำไว้ให้เขาหลบหนี
ดังนั้นการที่นักปราชญ์และลูกศิษย์ของเขาจะเดินทางออกจากเกาะนกกระสาไปโดยที่ไม่มีใครรับรู้ เรื่องนั้นคงไม่มีทางเป็นไปได้
เขากล้าเดินทางมาที่เกาะนกกระสา เซียวเฉวียนก็จะทำกับเขาเหมือนการจับเต่าจากขวด!
ดวงอาทิตย์ขึ้นและตก หนึ่งวันได้ผ่านไปแล้ว
สุดท้ายนักปราชญ์และลูกศิษย์ของเขาก็รอจนถึงตอนค่ำ!
ไฟในบ้านติดสว่าง ทั้งสองคนค่อยๆ แอบเดินลงมาจากภูเขา
ระหว่างทาง เสวียนจิ้งถามออกมาด้วยความสงสัย “ท่านอาจารย์ พวกเรากำลังทำอะไรอย่างนั้นหรือ?”
รู้ว่านักปราชญ์กำลังทำอะไรบางอย่าง แต่นักปราชญ์ไม่ได้บอกกับเสวียนจิ้งว่าเขากำลังทำอะไร
สิ่งที่น่าสงสัยก็อยู่ตรงนี้ ตั้งแต่มาที่เกาะนกกระสาจนถึงวันนี้ อาจารย์และลูกศิษย์อยู่บนภูเขามาโดยตลอด พวกเขาไม่รู้ว่าสถานการณ์ด้านล่างเป็นอย่างไร เสวียนจิ้งไม่รู้จริงๆ ว่านักปราชญ์ต้องการทำอะไรกันแน่
ท้ายที่สุดแล้ว ในเมื่อต้องการทำอะไรบางอย่าง อย่างน้อยก็ต้องรู้สถานการณ์ของอีกฝ่ายให้แน่ชัดเสียก่อน จะได้รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป
แต่นักปราชญ์ไม่รู้อะไรทั้งนั้น เขากลับรีบลงจากภูเขา แล้วทีนี้จะเริ่มต้นอย่างไง
คำถามนี้อยู่ในใจของเสวียนจิ้งมาเป็นเวลานาน มันทำให้เขาทนต่อไปไหว จำเป็นจะต้องถามออกมาให้รู้เรื่องรู้ราว แม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันของนักปราชญ์ แม้ว่าจะถูกนักปราชญ์ตำหนิ แต่ไม่ว่าอย่างไรเสวียนจิ้งก็ต้องถามเรื่องนี้ให้ชัดเจนให้ได้
อย่างน้อยก็มีแผนการอยู่ในใจบ้าง
ไม่อย่างนั้น หากไม่รู้เลยว่าต้องทำอะไร และก้าวผิดไปตั้งแต่ขั้นตอนแรก สุดท้ายแล้วมันมักจะพาไปสู่ผลลัพธ์อันเลวร้าย
เมื่อถึงเวลานั้น สถานการณ์มันจะย่ำแย่เสียยิ่งกว่าตอนนี้
สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของเสวียนจิ้งก็คือ นักปราชญ์ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดเลยแม้แต่น้อย แต่ยังตอบกลับมาอย่างใจเย็นว่า “ที่จริงควรจะเคลื่อนไหวอย่างไร อาจารย์เองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“ก่อนอื่นลงไปจากเขาไปก่อน แล้วค่อยดูสถานการณ์ต่อไปแล้วกัน”
แบบนี้มันไม่เท่ากับการบินไปรอบๆ เหมือนแมลงวันหัวขาดหรอกหรือ?
บินไปชนผนังยังไม่เท่าไหร่ แต่หากไปเจอกับเทพเจ้าแห่งโรคระบาดอย่างเซียวเฉวียน แบบนั้นมันคงไม่ใช่เรื่องตลก
ยิ่งไปกว่านั้นเจี้ยนจงและเสี่ยวเซียนชิวเองก็อยู่ด้วย
หากบังเอิญไปเจอพวกเขา ต่อให้มีปีกก็คงยากที่จะหนี
บ้าที่สุด!
ก่อนที่จะลงจากเขา ด้วยท่าทางที่มั่นใจของนักปราชญ์ เสวียนจิ้งคิดว่านักปราชญ์น่าจะมีแผนการรับมือที่ชัดเจนอยู่แล้ว
ใครจะไปรู้ว่าครั้งนี้นักปราชญ์กลับเคลื่อนไหวโดยไม่มีเป้าหมายหรือแผนการอยู่ในใจเลย
เสวียนจิ้งอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยความกังวลว่า “ท่านอาจารย์ พวกเราเปลี่ยนวันเดินทางกันไม่ดีกว่างั้นหรือ?”
“รอให้ศิษย์หาวิธีตรวจสอบสถานการณ์ให้แน่ชัดเสียก่อน พวกเราค่อยโจมตีเซียวเฉวียนสวนกลับอย่างรุนแรง”
แต่เกาะนกกระสาเป็นเพียงเกาะที่โดดเดี่ยว ต่อให้พวกเขาหลบซ่อนอย่างไร บนเกาะนกกระสาก็มีภูเขาเพียงไม่กี่ลูก พวกเขาไม่อาจหลบซ่อนไปจากเซียวเฉวียนได้
ดังนั้นจึงไม่สามารถอยู่บนเกาะนกกระสาได้ตลอดไป ยิ่งอยู่นานเท่าไหร่ ความปลอดภัยก็ยิ่งลดลงเท่านั้น
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเสวียนจิ้งก็ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงอันแน่วแน่ “ขอรับ! ท่านอาจารย์!”
ด้วยเหตุนี้ อาจารย์และศิษย์ทั้งสองคนจึงแยกทางกัน
ตอนนี้ทุกบ้านเรือนเต็มไปด้วยแสงไฟ หากต้องการรู้ว่าตรงไหนมีคนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แค่ดูปริมาณไฟที่ส่องสว่างก็สามารถมองออกได้
เสวียนจิ้งได้ที่หมายในการวางเพลิงอย่างรวดเร็ว
เพื่อให้เปลวไฟลุกไหม้รวดเร็วและรุนแรงที่สุด เสวียนจิ้งจึงนำหญ้าแห่งมาวางเรียงกันตามบ้าน เพื่อให้บ้านแต่ละหลังมีช่องทางให้เปลวไฟลุกลามไปทั่วกัน
หากทำเช่นนี้ แค่วางเพลิงเพียงไม่กี่จุดก็สามารถทำให้เพลิงไหม้ไปทั่วหมู่บ้านได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากที่เสวียนจิ้งทำอย่างนั้นอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า เชื่อมหญ้าแห้งเป็นทางยาว ให้หมู่บ้านแต่ละหมู่บ้านเชื่อมต่อกัน
จนกระทั่งเชื่อมกันทั้งหมด 5 หมู่บ้าน เสวียนจิ้งถึงจะเปลี่ยนเป้าหมายไปยังทุ่งหญ้ากว้าง
ใช้ประโยชน์จากแสงไฟ เสวียนจิ้งเลือกทุ่งหญ้าสองสามแห่งที่มีปริมาณเชื้อฟืนเพียงพอสำหรับการจุดไฟ
หนึ่งในนั้นคือทุ่งพริกไทยของอาสือ
ถัดจากสวนพริกไทยก็คือสวนปลูกเถามันเทศ
หากสวนพริกไทยถูกไฟเผา สวนเถามันเทศก็จะติดไฟไปด้วย
และเมื่อเปลวไฟลุกลาม มันก็จะกระจายไปทางกระท่อมที่อยู่บริเวณใกล้เคียง
ทุ่งหญ้าบริเวณนี้กว้างใหญ่เป็นอย่างมาก ประกอบกับเกาะนกกระสานั้นอยู่ติดกับทะเล ลมทะเลพัดเสริมขึ้นมาบนบก ภายใต้แรงลมที่พัดเข้ามา เปลวไฟจะลุกไหม้อย่างรวดเร็ว และการที่จะดับมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
ดังนั้นเมื่อเห็นว่าที่ดินเพาะปลูกของพวกเขาลุกไหม้โดยไม่ทราบสาเหตุ อาสือและเหล่าชาวบ้านก็มีสีหน้าเศร้าโศกขึ้นมาทันใด
จบกัน จบกันแล้ว ความพยายามและการทำงานหนักของพวกเขาทั้งหมดล้มเหลว ทุกอย่างถูกไฟเผาไปจนหมดแล้ว!
ในโลกใบนี้ ใครกันที่สามารถทำเรื่องที่เลวร้ายเช่นนี้ขึ้นมาได้?
นี่จุดไฟเผาที่ดินทำกินของพวกเขาจริงๆ งั้นหรือ!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...