แต่เซียวเฉวียนและเจี้ยนจงนั้นไวมาก เพื่อไม่ให้พวกเขาตามทัน นักปราชญ์จึงรีบไปให้ห่างจากที่นั่นราวกับเท้าทาน้ำมันหล่อลื่น
เพื่อปกปิดร่องรอยของเขาได้ดีขึ้น ขณะที่วิ่งไป เขาฉีกผ้าชิ้นหนึ่งออกจากตัวและห่อผมสีเงินแวววาวบนหัวของเขา
เนื่องจากทำได้ไม่ถนัดมือ เขาพันตัวเองจนเหมือนกับแม่ไก่วัยแก่ตัวหนึ่ง
วิ่งหนีเอาชีวิตไว้ก่อน จะไปสนใจภาพลักษณ์ดูดีไม่ดีได้ไง ?
เพื่อไม่ให้เซียวเฉวียนตามมาทัน นักปราชญ์พยายามอย่างสุดฤทธิ์ บึ่งไปที่ชายทะเลให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
เมื่อเขาเกือบจะถึงชายหาด เขาเห็นมีคนหนึ่งอยู่ตรงข้างหน้าเขาทันที
นักปราชญ์อดไม่ได้ที่จะหยุดฝีเท้าและไปมองดูใกล้ๆ
พอแน่ใจว่าเป็นเสวียนจิ้ง เขาเดินขึ้นหน้าต่อไปและพูดด้วยเสียงเบา ๆ "ทำไมเจ้าช้าจัง"
จู่ๆ มีเสียงดังมา เสวียนจิ้งสะดุ้งตกใจ
เสวียนจิ้งชีพจรพุ่งเร็วรีบหันกลับมาดู ผงะชะงักไปสองวินาทีกว่าจะดูออกว่าคนนั้นคือนักปราชญ์
ถึงค่ำคืนจะมืดมิด แต่ข้างหน้าอยู่ไม่ไกลก็เป็นชายหาดและทะเล
ด้วยแสงสลัวๆ นั้น เสวียนจิ้งยังพอมองเห็นความทุลักทุเลของนักปราชญ์ในตอนนี้
ดูจากลักษณะ สถานการณ์คงจะแย่มาก
แต่มีข่าวที่แย่กว่านั้นอีก เสวียนจิ้งต้องบอกให้นักปราชญ์รับรู้
แต่ก่อนที่จะบอก เสวียนจิ้งต้องให้นักปราชญ์เตรียมใจไว้ก่อน ยังเป็นคำเดิมๆ “อาจารย์ มีเรื่องหนึ่งถ้าลูกศิษย์พูดแล้ว ท่านอย่าโมโหนะ”
ก่อนหน้านี้เพิ่งเสียทีให้กับเซียวเฉวียนไป นักปราชญ์มีอารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว เสวียนจิ้งยังมาพูดอืดๆ อาดๆ อีก นักปราชญอดหงุดหงิดไม่ได้ที่จะพูดว่า "มีอะไรก็รีบบอกมา !"
แย่แล้ว ยังไม่ทันจะพูดอะไร นักปราชญ์เริ่มโมโหแล้ว
ดูแล้ว เดี๋ยวต้องโดนพระพิโรธของเขาแน่เลย
หนังศีรษะของเสวียนจิ้งชักรู้สึกชา เขากล่าวว่า "อาจารย์ ศิษย์หารอบๆ ชายทะเลนี้แล้ว ไม่พบเรือแม้แต่ลำเดียว"
ความหมายก็คือ มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะออกทะเลคืนนี้
เว้นเสียแต่นักปราชญ์จะสามารถเสกเรือขึ้นมาได้
แต่ถึงแม้นักปราชญ์จะมีความสามารถเท่าฟ้า ก็ไม่อาจเสกเรือได้
พอได้ยินเช่นนี้ นักปราชญ์อารมณ์ระเบิดขึ้นมาทันที
โคตรแม...ง ริมทะเลแถบนี้ออกกว้างใหญ่ ไม่มีเรือแม้แต่ลำเดียวงั้นหรือ !
ตอนที่พวกเขามาถึง ยังเห็นมีเรือเทียบริมทะเลอยู่ตั้งหลายลำ
ไม่ต้องคิด เรื่องนี้ต้องเป็นเซียวเฉวียนอยู่เบื้องหลังอีกแล้ว !
จากเสียงระเบิดมือเมื่อกี้ หูและศีรษะของนักปราชญ์ยังอื้ออยู่ไม่หาย ดังนั้นเสียงของเขาจึงดังขึ้นโดยไม่รู้ตัว "ให้ตายเถอะ ! เซียวเฉวียน !"
จบกันที ดูสภาพตอนนี้ เซียวเฉวียนน่าจะคิดได้ว่านักปราชญ์จะมีการเคลื่อนไหว แล้วถือโอกาสไปจากเมืองไป๋ลู่ในค่ำคืน เขาจึงเจตนามาเก็บเอาเรือทั้งหมดไปแล้วล่วงหน้า
ถ้าอย่างที่เขาพูด ด้วยความฉลาดเฉลียวของเซียวเฉวียน คงอีกไม่นาน เขาต้องนำคนของเขาไล่ตามมาถึงชายทะเลนี้แน่
พวกเซียวเฉวียนมีวิชาเคลื่อนที่ในพริบตา ถึงจะมีเรือ นักปราชญ์ก็ไม่อาจหนีพ้นจากพวกเซียวเฉวียนได้
เพื่อหลบเซียวเฉวียน นักปราชญ์จึงตัดใจเปลี่ยนเส้นทางชั่วคราว ยังไม่ไปจากเมืองไป๋ลู่ในขณะนี้ ไว้หาโอกาสไปจากนี่อีกที
ยังไงคืนนี้ก็ไม่มีเรือ
ถึงจะมีเรือ เมื่อออกทะเลไป นักปราชญ์ก็ว่ายน้ำไม่เป็น หากพวกเซียวเฉวียนตามมาได้ พวกเขาจะเสียเปรียบ
ไม่ใช่เรื่องเกินจริง อย่างนั้นเท่ากับรอให้เซียวเฉวียนมารวบตัวอย่างนั้นเลย
แต่เสวียนจิ้งไม่คิดอย่างนั้น
เขาคิดว่าถ้าเซียวเฉวียนเอาเรือทั้งหมดไปซ่อนไว้จริงๆ เขาก็ต้องรู้แล้วว่าพวกเขาจะหนีไปไม่ได้ถ้าไม่มีเรือ และถูกกักอยู่ในเมืองไป๋ลู่
ตราบใดที่นักปราชญ์และเสวียนจิ้งยังอยู่ในเมืองไป๋ลู่ เซียวเฉวียนก็จะมีทางหาพวกเขาจนเจอ
ดังนั้น แม้ว่านักปราชญ์จะเพิ่งหนีจากเซียวเฉวียนมาได้ ด้วยนิสัยของเซียวเฉวียน เขาจะไม่ไล่มาถึงชายทะเล แต่จะรอจนนักปราชญ์และเสวียนจิ้งเคลื่อนไหวก่อกวนอีกครั้ง
หรือไม่ก็กักพวกมันไว้ในเมืองไป๋ลู่ แล้วค่อยจับเต่าในโกศ
ดังนั้นหากพวกเขาไม่รีบหนีไปในคืนนี้ คิดจะหนีในคราวหลัง โอกาสคงมีน้อยเต็มที
หลังจากฟังเสวียนจิ้งพูดแล้ว นักปราชญ์ก็รู้สึกว่ามีเหตุผลเช่นกัน
แต่ปัญหาคือ จะไปจากเมืองไป๋ลู่คืนนี้ ก็ต้องมีเรือนี่นา
อากาศดีก็ดีไป แต่ถ้าอากาศไม่ดี เกิดฝนตกขึ้นมา พวกเขาก็จะกลายเป็นลูกหมาตกน้ำ
ถ้าเป็นอย่างนี้ เสวียนจิ้งคิดว่าไปอยู่ที่ทะเลทรายยังดีกว่า
เพื่อให้ไปจากสถานที่นี้โดยเร็วที่สุด เสวียนจิ้งจึงพูดกล่อมอีกครั้ง "อาจารย์ ท่านไม่ต้องห่วง ศิษย์จะผูกต้นกล้วยให้แน่นหนาและทำให้มันใหญ่หน่อย จะไม่มีปัญหาแน่นอน"
ไปจากเมืองไป๋ลู่ถึงจะถูกทาง !
หลังจากเสวียนจิ้งกล่อมซ้ำแล้วซ้ำอีก ในที่สุดนักปราชญ์ก็เอ่ยปากพูด "ถ้างั้น เจ้าไปทำแพขึ้นมาดูก่อน"
นักปราชญ์ต้องดูก่อนว่าแพที่เสวียนจิ้งทำขึ้นมานั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร
พอได้ยิน เสวียนจิ้งก็เริ่มตัดต้นกล้วยอย่างขยันขันแข็ง มีความคล่องแคล่วชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งจอกน้ำชา เขาก็ประกอบแพเสร็จเรียบร้อย
เขาผลักแพลงไปในน้ำ แพก็ลอยอยู่เหนือน้ำอย่างมั่นคง
เพื่อให้นักปราชญ์สบายใจ เสวียนจิ้งจึงนำหน้าขึ้นไปยืนก่อน แถมกระโดดบนนั้นหลายๆ ที แพก็ยังดูมั่นคงดี
ต้นกล้วยมีกำลังลอยตัวดีอยู่แล้ว แพที่ทำจากต้นกล้วยจึงมีกำลังลอยตัวดีกว่าแพที่ทำจากไม้ไผ่ ทั้งนิ่งด้วย
เมื่อเห็นเช่นนี้ นักปราชญ์รู้สึกว่าก็ไม่เลว จึงแวบขึ้นไปยืนบนแพพร้อมกับเสวียนจิ้ง
เขาเพิ่งยืนขึ้นไป ก็รู้สึกถึงมีพลังอาฆาตกำลังดันเข้ามาใกล้ตัว
เขารีบโบกมือสะบัด วางค่ายกลอย่างรวดเร็ว เพื่อทำให้ฝ่ายตรงข้ามสับสน
ในเวลาเดียวกัน นักปราชญ์ก็กระทืบอย่างแรงดันให้แพแล่นออกไปผิวทะเล และบอกให้เสวียนจิ้ง "รีบพายเรือ"
ขณะเสวียนจิ้งพายเรือ นักปราชญ์ก็วางค่ายกลกันไปเพื่อปกปิดร่องรอยที่อยู่ของพวกเขา
เพื่อไม่ให้ใครมาเห็นทิศทางของพวกเขา จังหวะที่เสวียนจิ้งพายเรือนั้นก็อยู่ในวงแคบ เขาแตะน้ำพายเบาๆ พลางใช้กำลังภายในหนุนไปด้วย
เห็นนักปราชญ์ทั้งอาจารย์และศิษย์หายไปต่อหน้าต่อตา เซียวเฉวียนต้องหยีตามอง แอบรวบรวมกำลังภายในใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างอัดไปยังหน้าทะเล
"โครม !"
ผิวทะเลถูกระเบิดออกเป็นคลื่นลูกใหญ่ในทันที !
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...