สรุปเนื้อหา บทที่ 1847 เปลือกไม้รากหญ้า – ซูเปอร์ลูกเขย โดย ชิงเฉิง
บท บทที่ 1847 เปลือกไม้รากหญ้า ของ ซูเปอร์ลูกเขย ในหมวดนิยายนิยายจีนโบราณ เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย ชิงเฉิง อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
เมื่อถึงเวลานั้น เซียวเฉวียนจักแนะนำให้ฝ่าบาทนำสถานศึกษาทั้งหมดเข้าสู่ภายใต้การควบคุมของราชสำนัก ซึ่งเทียบเท่ากับโรงเรียนในยุคปัจจุบัน
หลังจากรับเหล่าอาจารย์เข้ามาแล้วก็ควรจักปฏิบัติกับพวกเขาเป็นอย่างดี หรืออาจมอบลำดับขั้นอันใดสักอย่างให้กับพวกเขาก็เป็นได้
เช่นนี้ เหล่าอาจารย์ก็ถือว่าเป็นขุนนางในราชสำนักเช่นกัน เพราะฉะนั้นลำดับขั้นยศฐาควรจะสูงขึ้นมากกว่าเดิมเสียหน่อย
เมื่อรวมไปถึงการปฏิรูปการสอบขุนนางระดับเคอจี่นั้น ยามที่ทุกคนได้รับการเลื่อนขั้น ตำแหน่งจื้นซื่อก็จะมีมากยิ่งขึ้น
ด้วยตำแหน่งจิ้นซื่อที่มีจำนวนมากเช่นนี้ ราชสำนักย่อมมิอาจจัดการกับพวกเขาไปได้สักระยะหนึ่ง
ท้ายที่สุดแล้ว การสอบขุนนางระดับเคอจี่ยังจัดขึ้นทุก ๆ ปีอีกด้วย เนื่องจากมีคนสอบจำนวนมากในทุก ๆ ปี ดังนั้นตำแหน่งในราชสำนักจึงไม่ค่อยมีว่างเว้นมากนัก
แม้แต่ในหมู่ตำแหน่งจิ้นซื่อเอง ก็ยังมีอีกหลายคนที่มิได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเลยเช่นกัน
เมื่อถึงเวลานั้น ก็จักใช้ความสามารถในการสอนของจิ้นซื่อในการตัดสินความสามารถของพวกเขา หากคนได้สอนได้ดีก็จักได้รับการเลื่อนขั้น พร้อมทั้งถูกโยกย้ายไปที่อื่นได้
ด้วยวิธีการเช่นนี้ ไม่เพียงแต่สามารถแก้ปัญหาอาจารย์ที่ขาดแคลนได้เท่านั้น แต่ยังส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่ขุนนางทุกคนมีคุณธรรมในตนเอง ทั้งยังสามารถปลุกไฟในการสอนให้กับเหล่าจิ้นซื่อได้เป็นอย่างดี มิต้องเป็นกังวลว่าจิ้นซื่อจะมายุ่งวุ่นวายเลยแต่น้อย
แน่นอนว่า เพื่อกำจัดมดแมลงที่ไม่เชื่อฟังออกไป อีกทั้งการสอบขุนนางระดับเคอจี่เองก็ยังมีการเลื่อนขั้นอีกด้วย การทดสอบระดับชนบทยังคงวัดการสอบเป็นแบบปกติอยู่ หลังจากการทดสอบระดับชนบทเสร็จสิ้นแล้วนั้นจึงจะสามารถเลื่อนตำแหน่งให้กับทุกคนได้
เช่นนี้เหล่าบัณฑิตที่หลงเหลืออยู่ก็มีไม่มากแล้ว
ท้ายที่สุดแล้ว บัณฑิตที่ร่ำเรียนในสมัยยุคโบราณนั้น ล้วนแต่ต้องตรากตรำร่ำเรียนอย่างหนักเป็นเวลานานถึงสิบกว่าปี อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาศึกษาจนเข้าใจอย่างถ่องแท้เลยทีเดียว
การทดสอบระดับชนบทเป็นเพียงแค่การคัดเลือกเท่านั้น หากผ่านขึ้นมาได้พวกเขาย่อมเป็นปรมาจารย์ในสถานศึกษาได้อย่างแน่นอน
นี่เป็นเพียงแผนการคร่าว ๆ เท่านั้น หากให้ลงลึกถึงรายละเอียดนั้น อาจจะต้องคิดให้ละเอียดและรอบคอบมากกว่านี้
หลังจากฟังคำอธิบายของเซียวเฉวียนแล้วนั้น เจี้ยนจงพลางเอ่ยออกมาด้วยความชื่นชมว่า "อื้ม แผนการนี้ฟังดูไม่เลวเลย"
ถึงแม้ว่ามันจะทำให้การเงินร่อยหรอไปบ้าง
ทว่า เซียวเฉวียนมีเงิน ตราบใดที่เซียวเฉวียนเต็มใจที่จะจ่าย หาได้มีปัญหาอันใดไม่
ฉะนั้น สถานศึกษาที่คิดจะสร้างภายในเกาะนกกระสาก็คือที่นี่
การจัดการเรื่องราวในอาณาเขตของตนเองนั้น นับว่าผ่านไปได้อย่างราบรื่นเลยทีเดียว
หาได้เหมือนในรัฐมู่อวิ๋ไม่ พวกเขายังต้องไปติดต่อกับขุนนางท้องถิ่นเพื่อเจรจาและยื่นข้อเสนอให้อีกมากมาย
หลังจากระบุพื้นที่ได้แล้วนั้น ทั้งเซียวเฉวียนและเจี้ยนจงจึงนำเรื่องนี้ไปบอกกล่าวกับอาสือในทันที หากอาสือมีเวลาว่างเมื่อใดให้เขานำกำลังคนไปจัดการสถานที่ให้เรียบร้อย
เซียวเฉวียนจึงวาดภาพขึ้นมาว่าสถานศึกษาจักมีหน้าตาเช่นไร
แม้แต่การจัดแสงเซียวเฉวียนยังระบุเอาไว้ในภาพวาดอีกด้วย
เดิมทีสถานศึกษาคือสถานที่ที่ให้เหล่าบัณฑิตมาเล่าเรียน นอกจากจักต้องคำนึงถึงความแข็งแรงของโครงสร้างแล้ว ก็ยังต้องคิดคำนึงถึงมุมและแสงที่ส่องเข้ามาด้วย
ในยุคนี้นั้น หาได้มีไฟฟ้าเข้ามาไม่ จึงทำให้มิมีแสงสว่างที่เพียงพอไม่เหมือนในโลกยุคปัจจุบัน
ฉะนั้นแล้ว แสงสว่างจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
เมื่ออาสือรู้ว่าเซียวเฉวียนกำลังจะทำการใหญ่ถึงเพียงนี้ เขาก็ตกตะลึงเสียพูดอันใดไม่ออกอยู่นาน
เขามองดูภาพวาดด้วยท่าทีเหม่อลอย ก่อนที่จะหาเสียงของตนเอง พลางเอ่ยออกมาด้วยท่าทีสงสัยว่า "พี่ใหญ่ ฝ่าบาททรงทราบหรือไม่ ว่าทำกำลังทำการใหญ่ถึงเพียงนี้?"
หลังจากถามจบ อาสือพลันรู้สึกว่าตนเองกำลังเอ่ยเรื่องไร้สาระอันใดออกไปกัน?
เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ เซียวเฉวียนย่อมรายงานเรื่องนี้แก่องค์จักรพรรดิอยู่แล้ว ทั้งยังต้องได้รับการยินยอมจากพระองค์เสียก่อน
มิฉะนั้น หากพวกเขาเริ่มลงมือเมื่อใดคนของฝ่าบาทย่อมรู้ทันอย่างแน่นอน
เรื่องนี้ไม่ว่าจักเก็บงำเช่นไรย่อมมิอาจปิดบังได้มิด
ด้วยลักษณะนิสัยที่กลัวเรื่องวุ่นวายเช่นเซียวเฉวียนแล้วนั้น หากเรื่องใดที่ช่วยลดปัญหาได้ แน่นอนว่าเขาต้องทูลกล่าวต่อฝ่าบาทแล้วเป็นแน่ เพื่อที่ฝ่าบาทจักได้เป็นโล่กำบังให้กับตนเองได้ โอ้ ไม่ การสนับสนุนของผู้อยู่เบื้องหลัง
เมื่อเป็นเช่นนี้ หากเหล่าขุนนางเสนาบดีคนใดต้องการใช้เรื่องนี้มาก่อกวนจนสร้างความยุ่งยากให้กับเซียวเฉวียนแล้วละก็ พวกเขาต้องผ่านฝ่าบาทมาให้ได้เสียก่อน
เมื่อมีองค์จักรพรรดิเป็นผู้ให้การคุ้มกันเช่นนี้แล้ว อาจกล่าวได้ว่าหนึ่งคนเฝ้าด่าน ทหารหมื่นนายมิอาจย่างกราย!
นี่ถือว่าเป็นการกระทำที่เหมาะกับเซียวเฉวียนยิ่งนัก
เมื่อเห็นท่าทีถามเองตอบเองของอาสือเช่นนี้ ภายในใจของเซียวเฉวียนพลันอดที่จะลอบหัวเราะออกมาไม่ได้
นี่เป็นเพียงสถานศึกษาแห่งหนึ่งเท่านั้น หากอาสือรู้ว่าเขาจักสร้างสถานศึกษาทั้งเจ็ดรัฐนั้น อาสือจักต้องตกใจมากเพียงใดกัน?
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเซียวเฉวียนนั้น อาสือพลันตกตะลึงเสียอ้าปากค้างจนแทบจะโยนไข่ต้มลงไปได้ในทันที
ช่วงเวลาที่เหลืออยู่นั้น ทุกคนจึงแยกย้ายกันไปปฏิบัติหน้าที่ตามตำแหน่งใครตำแหน่งมัน
วันเวลาผ่านไปอย่างเรียบง่ายทั้งยังสงบสุข
วันเวลาผ่านไป เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านมาถึงสามวันแล้ว
หลังจากผ่านการพักฟื้นมานานถึงสามวันนั้น ถึงแม้ว่าพวกเขาจักได้กินผลไม้ป่า ทว่า ร่างกายของศิษย์และอาจารย์ก็ดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
เกรงว่าพอจะประทังชีวิตอยู่รอดไปจนถึงพรุ่งนี้ได้กระมัง
เพียงเพื่อที่จะปิดและอำพรางตัวตนนั้น ทั้งท่าน นักปราชญ์และเสวียนจิ้งต่างก็ทำได้เพียงกินผลไม้ป่า ไม่กล้าล่าสัตว์อันใด
อย่างแรก เป็นเพราะร่างกายของพวกเขายังฟื้นตัวได้ไม่ดีนัก หากว่าเกิดการปะทะขึ้นมาอาจจะส่งผลร้ายมากกว่าดี
อย่างที่สอง พวกเขากลัวว่าหากตนเองตัดไม้ก่อฟืนภายในภูเขานั้น อาจจะทำให้ถูกพบตัวได้ง่าย
ถึงอย่างไร หากล่าสัตว์แล้วก็ต้องก่อไฟย่างอาหาร ย่อมต้องมีควันไฟ เช่นนี้อาจจะทำให้ผู้คนสังเกตเห็นการมีอยู่ของพวกเขา
อีกทั้ง ยังมีพวกดอกไม้ใบหญ้ามากมายยิ่งนัก ลมก็ยังแรงอีก
หากก่อไฟอาจจะทำให้เกิดเพลิงไหม้ได้ง่าย
หากเกิดเพลิงไฟขึ้นมา ย่อมทำให้พวกมันรู้ว่าพวกเขายังคงอยู่ในเกาะนกกระสาแห่งนี้อยู่
เมื่อถึงเวลา พวกเซียวเฉวียนก็คงจะแกะรอยตามหาพวกเขาจนเจอได้แน่ ๆ
เมื่อเทียบกับการมีชีวิตรอดแล้วนั้น การไม่กินเนื้อสัตว์เพียงไม่กี่วันจักนับว่าเป็นอันใดไปได้?
ตราบใดที่พวกเขามีโอกาสออกจากเกาะนกกระสาออกไป ในอนาคตข้างหน้าพวกเขาจะอยากกินเนื้อมากเท่าใดก็ได้มิใช่หรือ?
ทว่า เมื่อได้กินแต่ผลไม้ป่ามานานหลายวันพวกเขาเองก็เริ่มจะกลืนไม่ลงแล้ว ท่านนักปราชญ์เองก็รู้สึกหดหู่อยู่เล็กน้อย
พวกเขารั้งอยู่ที่นี่มาหลายวันแล้ว หาได้มีสิ่งใดดูผิดปกติไปไม่ นั่นก็สามารถที่จะพิสูจน์ได้แล้วว่าสถานที่แห่งนี้ปลอดภัย
หากออกจากที่นี่ไปก็คงยากที่จะรับประกันได้
ออกไปนั้น อนาคตจักเป็นเช่นไรย่อมไม่แน่นอน
แต่หากมิไป ก็ย่อมต้องอดตายเช่นกัน เนื่องจากพวกเขาได้แต่รากหญ้าหรือเปลือกไม้เท่านั้น
หากมองถึงด้านความปลอดภัยในชีวิตตนเองแล้วนั้น ท่านนักปราชญ์มิอยากจากไป
ทว่า หากมิไปก็ต้องกินรากหญ้า เปลือกไม้ แค่คิดก็ทำเอานักปราชญ์นึกมึนงงเสียจริง
เขาที่ใช้ชีวิตอยู่มานานหลายสิบปี มิเคยต้องมาอยู่ในสภาพน่าอนาถเช่นนี้เลยสักครั้ง!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...