สรุปตอน บทที่ 1850 หลบหนีได้ไปได้ – จากเรื่อง ซูเปอร์ลูกเขย โดย ชิงเฉิง
ตอน บทที่ 1850 หลบหนีได้ไปได้ ของนิยายนิยายจีนโบราณเรื่องดัง ซูเปอร์ลูกเขย โดยนักเขียน ชิงเฉิง เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
เสี่ยวเซียนชิวสงสัยว่าที่กระรอกพูดถึงคนสองคนนั้นก็คือนักปราชญ์และเสวียนจิ้ง
เมื่อได้ฟังเสี่ยวเซียนชิวพูดเช่นนี้ เซียวเฉวียนและเจี้ยนจงก็คิดว่าน่าจะเป็นพวกเขาแน่ ๆ
ดังนั้นทั้งสามคนจึงเริ่มค้นหาที่อยู่ของนักปราชญ์และลูกศิษย์ของเขา
เสี่ยวเซียนเชิวใช้พลังวิเศษของเธอเพื่อพูดคุยกับต้นไม้ที่อยู่รอบตัวเธอ
แต่ต้นไม้ต่างก็พูดว่าพวกเขาไม่เคยเห็นคนผ่านมาแถวนี้เลย
นั่นแสดงว่าทั้งสามคนยังค้นหาไม่ถูกที่
。
นักปราชญ์และเสวียนจิ้งที่ซ่อนตัวอยู่ในค่ายกลกระบี่ ในเวลานี้ พวกเขาอยู่ห่างจากเซียวเฉวียนและคนอื่นๆ ประมาณหนึ่งพันเมตร
ดังนั้นนักปราชญ์จึงไม่ได้ยินการสนทนาของพวกเขาทั้งสามคน
แต่นับตั้งแต่ที่เขาได้ยินเสียงนกเคลื่อนไหวท เปลือกตาของเขาก็กระตุกตลอด และตอนนี้ก็ยิ่งกระตุกมากขึ้นเรื่อยๆ
นักปราชญ์จึงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน เขาจึงตัดสินใจออกจากที่นี่
เขากลัวว่าเซียวเฉวียนและคนของเขาจะตามมา
มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นความตาย มิอาจรอช้าได้
นักปราชญ์วางค่ายกลและมุ่งหน้าไปยังสถานที่ห่างไกลมากขึ้น
ระหว่างทาง เสวียนจิ้งไม่กล้าพูดอะไรสักคำ แต่นักปราชญ์ก็พูดขึ้นก่อนว่า "เสวียนจิ้ง เจ้าคิดว่าถ้าเราออกจากเกาะนกกระสาตอนนี้ เราจะมีโอกาสที่สำเร็จหรือไม่?"
เสวียนจิ้งทำได้แค่พูดความจริงว่า “โอกาสสำเร็จมีไม่น้อย”
หากพละกำลังของทั้งสองแข็งแกร่งเหมือนเช่แต่ก่อน ก็อาจจะยังคงมีโอกาสที่จะสำเร็จ แต่ติดตรงที่เซียวเฉวียนและคนของเขาอยู่บนภูเขา และไม่เห็นนักปราชญ์และเสวียนจิ้งไปที่ชายหาด
มิฉะนั้น พวกเขาจะอาจารย์และลูกศิษย์จะถูกค้นพบทันที่พวกเขาถึงชายหาด สถานการณ์คงจะเลวร้ายยิ่งกว่าตอนนี้
เหตุใดนักปราชญ์ได้ถามเช่นนี้อย่างกระทันหันนั้นเสวียนจิ้งเข้าใจดี นักปราชญ์คิดว่าเมื่อเซียวเฉวียนและคนของเขาตามาถึงที่นี่ พวกเขาอาจารย์และลูกศิษย์ก็จะใช้กลยุทธ์จักจั่นลอกคราบ
น่าเสียดาย ถ้าหากว่าเซียวเฉวี่ยนตามมาทีนี่ ด้วยพละกำลังของพวกเขาแล้ว การหลบซ่อนตัวถือเป็นการดีที่สุด
หากต้องการออกจากเกาะนกกระสา อย่างน้อยจะต้องรอจนกว่าเซียวเฉวียนและคนอื่น ๆ จะจากไปก่อน
อย่างไรก็ตาม หากเซียวเฉวียนตามมาจริง ๆ นั่นแสดงว่าเซียวเฉวียนจะต้องค้นพบเบาะแสอะไรบางอย่าง หากเป็นเช่นนั้นเซียวเฉวียนและคนอื่น ๆ ยิ่งไม่มีทางออกไปจากเกาะนกกระสาง่าย ๆ อย่างแน่นอน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขาและนักปราชญ์ก็ยังต้องใช้ชีวิตเหมือนคนป่าในเกาะนกกระสาเช่นนี้ต่อไป
ช่างทรมานเสียจริง ๆ !
แต่ถึงจะทรมานก็ยังดีกว่าการสูญเสียชีวิต
ดังนั้น ก่อนที่เสี่ยวฉวนจะจากไปและก่อนที่พละกำลังความแข็งแกร่งของพวกเขาจะฟื้น พวกเขาจะต้องอยู่ที่เกาะนกกระสาอย่างอดทนต่อไป
หลังจากฟังคำพูดของเสวียนจิ้งแล้ว นักปราชญ์ก็ล้มเลิกความคิดที่จะหาโอกาสออกไปจากเกาะนกกระสา
เขาถามเสวียนจิ้งนั้นเขาไม่ได้ต้องการความคิดเห็นจากเสวียนจิ้งจริง ๆ หรอก เขาแค่อยากลองฟังความคิดเห็นของเสวียนจิ้งดูเท่านั้น
พูดตามตรงก็คือในสายตาของนักปราชญ์ สติปัญญาของเสวียนจิ้งไม่ได้เหนือกว่าเขา หรือเหนือกว่าเซียวเฉวียน
หากแม้แต่เสวียนจิ้งยังรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นไปได้ยาก ถ้างั้นเรื่องนั้นก็ไม่มีความหวังแล้ว
อาจกล่าวได้ว่านักปราชญ์เอาเสวียนจิ้งมาเเป็นข้อคิดในเชิงลบมากกว่า
แน่นอนว่าอาจารย์และลูกศิษย์ได้ผ่านความยากลำบากมาด้วยกัน นักปราชญ์จำเป็นต้องรักษาน้ำใจของเสวียนจิ้งไว้ หากคำพูดคำไหนที่จะไปทำร้ายให้เสวียนจิ้งต้องขายหน้า นักปราชญ์ก็เลือกที่จะไม่พูดมันออกมา เพื่อไม่ให้ทำลายมิตรภาพระหว่างอาจารย์และลูกศิษย์
สุดท้าย นักปราชญ์ก็พูดอย่างสงบว่า "ใช่แล้ว อาจารย์ก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน"
จากนั้นบรรยากาศก็เงียบลง
หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง นักปราชญ์ก็รู้สึกหมดแรงเล็กน้อย เขาจำเป็นต้องหยุดชั่วคราว
เมื่อเห็นสีหน้าของนักปราชญ์ไม่สู้ดีนัก เสวียนจิ้งก็หยิบผลไม้ออกมาสองลูก เอามาเช็ดบนตัวของเขาแล้วยื่นให้กับนักปราชญ์ "อาจารย์ ท่านกินเอาแรงหน่อยเถอะ"
นักปราชญ์รับผลไม้มาแล้วหาที่นั่งเพื่อกินผลไม้
หลังจากกินเสร็จเขาก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
เมือเสวียนจิ้งเห็นท่าทางของเขาดีขึ้น เขาจึงถามว่า “อาจารย์ ท่านจะเอาอีกไหม?”
นักปราชญ์ปฏิเสธว่า “ไม่ล่ะ เจ้าเก็บไว้กินเถอะ”
หลังจากพักผ่อนได้สักพัก ทั้งสองก็ออกเดินทางต่อไป
อย่างน้อยก็อยู่ได้อีกสักสองวัน
ดังสุภาษิตที่ว่ากันว่าปัญหาทุกอย่างมีทางออก แก้สถานการณ์เฉพาะหน้าไปก่อนค่อยว่ากัน
สำหรับเซียวเฉวียนและคนอื่น ๆ พวกเขาค้นหาไปจนสุดทาง และก็มาถึงสถานที่ที่นักปราชญ์และลูกศิษย์หลบซ่อนอยู่
เช่นเดียวกับครั้งที่แล้ว พวกเขาสะกดรอยมาถึงที่นี่สุดท้ายร่อยรอยก็หายไปอีก
แต่ต้นไม้ที่นี่บอกกับเสี่ยวเซียนชิวว่าอาจารย์และลูกศิษย์ทั้งสองคนอยู่ที่นี่ก่อนที่พวกเขาจะมาถึงได้ไม่นาน
จากคำอธิบายของต้นไม้ หนึ่งในนั้นมีชายชราคนหนึ่ง ผมขาวและมีเครา เซียวเฉวียนก็แน่ใจว่าเขาคือนักปราชญ์และลูกศิษย์ของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่คาดคิดมาก่อนว่านักปราชญ์และลูกศิษย์ของเขาช่างใจกล้ามาก ยังกล้ากลับมาที่เกาะนกกระสา
แถมยังระแวดระวังตัวดีขนาดนี้ เมื่อเซียวเฉวียนขยับเข้าใกล้ ทั้งสองก็ย้ายค่ายกลไปอีกที่
ทั้งสองคนไปทิศทางไหนแล้วนั้น ต้นไม้ก็ไม่รู้ และก็ไม่มีใครรู้
ฉะนั้น เซียวเฉวียนและคนอื่น ๆ จึงยึดสถานที่แห่งนี้ค้นหาแหล่งซ่อนตัวของนักปราชญ์อย่างไร้ทิศทาง
นักปราชญ์สามารถหลบหนีไปได้ในเวลาเช่นนี้ ดูเหมือนว่าร่างกายของเขาเกือบจะฟื้นตัวแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาสองคนอาจจะคิดวางแผนแล้วว่าจะออกจากเกาะนกกระสาได้อย่างไร
ฉะนั้น เซียวเฉวียนจึงมุ่งความสนใจไปค้นหาที่ชายหาดแทน
ทั้งสามคนเดินทางผ่านป่าและเดินมาค่อนข้างไกล แต่ก็ยังไร้ร่องรอยของนักปราชญ์และลูกศิษย์ของเขา
แต่ว่าทั้งสามคนก็ไม่รีบร้อน ตราบใดที่นักปราชญ์ยังอยู่ที่เกาะนกกระสา พวกเขาซ่อนตัวได้เฉพาะอยู่เวาลาที่อยู่บนภูเขาเท่านั้น ยังไงพวกเขาจะต้องออกมาหาอาหารอย่างแน่นอน
ขอเพียงแค่พวกเขาออกมาหาอาหาร พวกเขาก็ไม่สามารถปกปิดไม่มีช่องโหว่ได้แน่
ขอเพียงแค่เซียวเฉวียนยังคงค้นหาในภูเขาต่อไป จะต้องหาที่ซ่อนตัวของพวกเขาได้อย่างแน่นอน
เว้นเสียแต่ว่าพวกจะทำตัวเหมือนผีลักลอบออกจากเกาะนกกระสาไปโดยที่ไม่มีคนพบเห็น
อย่างไรก็ตาม ท้องทะเลอันกว้างใหญ่ นักปราชญ์ไม่สามารถใช้ค่ายกลกระบี่เพื่อปกปิดร่องรอยของเขาได้เสมอไป
ตราบใดที่เซียวเฉวียนยังคงลาดตระเวนอยู่เหนือท้องฟ้า ก็เป็นไปไม่ได้ที่นักบุญจะหลบหนีไปได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...